วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

6 P 6 Why

6 P 6 Why
โจทย์ : Passive-->Massive-->Fully Retired-->3-5 ปี
จริงๆแล้ว ไม่มีบริษัทไหนดีที่สุด มีแต่บริษัท ที่เหมาะกับคุณที่สุด และผลลัพธ์ตอบโจทย์ คุณที่สุด  ดังนั้น เราต้องตั้งโจทย์ของเรา เสียก่อน
เมื่อทำธุรกิจ unicity ก็ต้องตั้งโจทย์ก่อนว่า ทำไมต้อง unicityโดยเราจะพิจารณาดังนี้
6 P       =   1.  Profile    2. Product     3. Plan (Compensation)   4. Process   5. Potential  ศักยภาพในการเติบโต     6. Partner
6 Why =   1. Wellness   2. Network   3. Unicity    4. Unipower    5. Team    6. You
 สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. Profile     มีความสำคัญมาก เพราะเป็นบริษัท ที่สามารถฝากชีวิตได้ โดยแบ่งออกเป็น
     1.1 Global Company ถ้าจะทำ Network Marketing ต้องเลือกทำ Global Company เนื่องจากเหตุผลต่อไปนี้           
           (1.)   Economy of Scale หมายความว่า บริษัทใหญ่ มีกำลังการผลิตมาก เพราะตลาดขยายอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้ต้นทุนต่ำ
                    และส่งผล  ให้ได้กำไรสูง และสินค้ามีคุณภาพสูงขึ้นตามไปด้วย  เมื่อเทียบกับ Local Company             
           (2.)   มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานคือRexall มีอายุกว่า 100 ปีและ Enrich มีอายุกว่า 40 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวทางเศรษฐกิจมากว่า 14ครั้ง
           (3.)   ต้องเป็นบริษัทที่ Profile อยู่ในสมาคมค้าตรง ของประเทศนั้นๆ
     1.2  Local Company   ตัดออกไปเลย ไม่สามารถ เทียบกันได้ มวยคนละรุ่น
 2. Product     แยกพิจารณาดังนี้  
      2.1    Raw Material มีวัตถุดิบที่เป็น organic 100%    ความหมายของคำว่า "organic" ของ USA หมายถึง ที่ดินผืน นั้น จะต้องไม่เคยทำอะไร
               เลย    ไม่ใส่ปุ๋ยหรือสารเคมี เป็นเวลา 30 ปีขึ้นไป      
      2.2    R & D ใช้ Technology ที่เป็น Biotechnology และอยู่ใน PDR ซึ่งเป็นที่ยอมรับ ของแพทย์อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นบริษัท ที่มีผลิตภัณฑ์
               อยู่ใน  PDR มากที่สุดในโลก       
      2.3    Variety มีความหลากหลายของสินค้า นับเป็นข้อได้เปรียบ ในการขยายธุรกิจ       
      2.4    Price ผู้บริโภคแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ           
                     (1.) กลุ่ม A ไม่คำนึงราคา คำนึงถึงคุณภาพสูง             
                      (2.) กลุ่ม B  คำนึงถึงราคาและคุณภาพ             
                      (3.) กลุ่ม C คำนึงถึงราคาก่อนคุณภาพ        
                unicity เป็นบริษัทที่มี Economy of Scale จึงสามารถผลิตสินค้าคุณภาพระดับ A ราคาระดับ C         
      2.5 Guarantee               
                      (1.) การันตีความพึงพอใจ ถ้าไม่พอใจก็สามารถคืนเงินได้               
                      (2.) การันตีผลลัพธ์ เช่น Bios Life C   ถ้ากินไปแล้ว คลอเรสเตอรอลในเลือด ไม่ลด ยินดีคืนเงิน 100%    ดังนั้น เราจึงไม่มี
                             ความเสี่ยงใดๆ  สินค้าต้องมีคุณภาพ และใช้ได้ผลเท่านั้น 
              หมายเหตุ : ข้อ 2.1 และ ข้อ 2.5 จึงมีความสัมพันธ์กันมากที่สุด กล่าวคือ หากมีการลดต้นทุนของ Raw Material ทำให้สินค้าคุณภาพด้อยลง
                                  แต่การันตีเหมือนเดิม บริษัทจึงไม่สามารถ ทำเช่นนั้นได้ เพราะมีการการันตีสินค้า ค้ำคออยู่ 
 3. Plan     แผนการตลาดต้องเร็วที่สุด มากที่สุด และเกษียณเร็วที่สุดโดยพิจารณาจาก                             
         3.1 vision ทุกบริษัทมี vision
         3.2 logic ทำง่าย จ่ายเยอะ ทุกบริษัท
         3.3 result   ถือเป็นจุดตัดจริงๆ โดยแบ่งเป็น                     
                    (1.) การจ่ายของ Company : คนทั่วไปเลือกข้อนี้ เพราะยังเมากับยอดขาย                     
                    (2.) การจ่ายของ Distributor : ควรพิจารณา จากข้อนี้มากที่สุด
         สิ่งที่ควรพิจารณาอีกเรื่องหนึ่งคือ  (1.)Qualityคุณภาพ ต้องมากที่สุด เร็วที่สุด และเสถียรสุด     (2.)Quatityจำนวนใครทำก็สำเร็จได้            

4. Process    คือ people + system ( unipower) เกษียณหรือไม่ขึ้นอยู่กับ system นั่นเอง
จากเรื่องเงิน 4 ด้าน S และ B ต่างกันที่มีระบบ และไม่มีระบบ ดังนั้น B ที่เป็น Network Marketing ที่มีระบบ จึงเกษียณได้ โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ และดำเนินงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
          ตัวอย่าง ประเทศที่ไม่มี unipower  เช่น สิงคโปร์ จะเป็น Director ใช้เวลา 7 ปี ส่วนประเทศที่มี unipower เช่น ประเทศไทย ใช้เวลาเป็น Director     เพียง 3 เดือน   และ System ดังกล่าวมากจากสถิติ ซึ่งสถิตินั้น มาจากการลองถูกนั่นเอง
 5. Potential  ศักยภาพในการเติบโตในธุรกิจ Network Marketing นั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเริ่มต้นทำที่ ต้นสาย กลางสาย หรือปลายสาย แต่ขึ้น อยู่กับศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของ unicity เป็น Neutraceutical และใช้ นวัตกรรม Biotechnology ดังนั้น ไม่ว่าจะผ่านไป กี่สิบปี ธุรกิจนี้ก็จะเติบโต ไปเรื่อยๆแน่นอน 

 6. Partner    หุ้นส่วนของ unicity ไม่ใช่  Line of Authority แต่เป็ น Line of Sponsor ซึ่งจะมีความเป็น ownership
      ตัวอย่าง  Line of Authority     เราจ้างลูกจ้าง ในอัตราเงินเดือน 150,000 บาท หากบริษัทอื่นจ่ายเดือนละ 300,000 บาท
                     ลูกจ้างลาออกไปรับ เงิน 300,000 บาทแน่นอน
      ตัวอย่าง  Line if Sponsor     เราสามารถส่งต่อ Skill & Result  เรายิ่งสอน --> เค้ายิ่งได้ --> เรายิ่งได้   เป็น win-win business   แต่หากเป็นธุรกิจ
                     อื่น ถ้าส่งต่อทั้ง skill และ result เค้าไปแน่นอน
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ Team ไม่แพ้เรื่องอื่นใน 4 หุ้นส่วน ใน ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่สงสัยหรือลังเลที่จะทำธุรกิจกับ unicity อีกแล้ว แต่เรื่องที่คนจะให้ความสำคัญว่าจะทำกับใคร

why unicity & why you : ถูกขับเคลื่อนด้วยวิชั่น และวิกฤต
                 ยกตัวอย่างการเปรียบเทียบ เรื่องราคาน้ำมัน ทองคำ ก๋วยเตี๋ยว และเงินเดือน ใน 10 ปีที่แล้วและปัจจุบัน จะเห็นว่า ราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว   คำถามคือรายได้ของเรา  จะเพิ่มขึ้นทันค่าใช้จ่าย เหล่านั้นหรือไม่

6 P 6 Why  ข้อมูล สเปเชี่ยลเทรนนิ่ง ณ. วันที่ 7 ต.ค. 57 By PS นิคม ใจมา สุดหล่อ @ โคราช

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

mind set HLP

PD คุณเบลล์

•       เป้าหมาย Happy Life เหมือนกันแต่ทำไมผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน
•       ผลลัพธ์ (ไม่เหมือนกัน) <-- การกระทำ (ไม่เหมือนกัน) <-- คิด (ไม่เหมือนกัน) <-- เชื่อ (ไม่เหมือนกัน) <-- ข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน
•       ทางแก้คือเอาข้อมูลของคุณไปเทียบกับข้อมูลของผู้สำเร็จ
•       โมเดลเดิมคือมีเยอะๆ ทำเยอะๆ คือประสบความสำเร็จ
•       โลกทัศน์มี 3 โลก (1) เรารู้ว่าเรารู้อะไร (2) เรารู้ว่าเราไม่รู้อะไร (3) เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร
•       ยกตัวอย่าง ถ้าคุณต้องการไปกลางเมืองนิวยอร์ก     การไปถึงใจกลางเมืองให้เร็วที่สุดถือว่าประสบความสำเร็จ แล้วก็มีคนส่งต่อแผนที่มาให้คุณ แล้วคุณก็เดินตามแผนที่นั้นไป แต่คุณไม่เคยไปนิวยอร์กคุณรู้ได้ยังไงว่าที่คุณไปถึงคือนิวยอร์ก หรือแผนที่ที่ได้มามันถูกต้อง (เพราะคนเขียนแผนที่อาจจะไม่เคยไปเหมือนกัน) วันนี้ต้องกลับมา Reset เป็น 0 ใหม่ว่าค่า Y ที่ถูกต้องในชีวิตคุณคืออะไรกันแน่ ถ้าคุณเจอแล้วก็หาข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วลงมือทำ

PD คุณนุ่น
•       ทนายมีอีโก้สูง ไม่เชื่อใคร แต่ได้ตัดสินในบนผลลัพธ์ที่มากพอ --> เลือกอิสรภาพ
•       ปีครึ่งใช้ศักยภาพตัวเองในการทำงานล้วนๆ ส่งต่อองค์กรไม่ได้
•       กลับมาทบทวนว่าวิธีการที่ทำมันใช่ทางสู่อิสรภาพหรือไม่ ตัดสินใจ ปล่อยวาง (หลังจากเสียเวลาไปปีครึ่ง)
•       กลับมาสู่ระบบใช้ Pattern และทำซ้ำๆๆ จนเกิดผลลัพธ์ --> ส่งต่อได้
•       ตอนนี้เข้าใกล้กับคำว่าอิสรภาพมากแล้ว

PS คุณณัฐ พีระวัฒน์
•       Direction vs Speed อะไรสำคัญกว่ากัน?
•       สำคัญเท่าๆ กัน แต่ Timing ไม่เหมือนกัน ต้องเริ่มต้นที่ Direction ให้ถูกต้องก่อน แล้วค่อยเพิ่ม Speed
•       สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนใหม่ Direction ยังไม่รู้ชัดแต่ใส่ Speed พรวดๆ คนเก่า Direction ถูกต้อง แต่ Speed มันแผ่ว

PR เป๊ปซี่
•       การเป็นของเราคือผลลัพธ์
•       ถ้าเก้าอี้คือผลลัพธ์ พื้นที่ของเราคือถัง ถ้าจะเอาเก้าอี้ใส่ลงในถัง ถ้าเก้าอี้มันใหญ่มีสองทางเลือกคือ ย่อเก้าอี้ให้เล็กลง กับขยายถัง
•       ยกตัวอย่าง New Year Resolution
•       สิ่งที่สำคัญมากกว่าการตัดสินใจคือการสามารถรักษาระดับการตัดสินใจในการไปสู่เป้าหมาย (มีวินัยต่อผลลัพธ์ที่คุณเลือก ต่อกิจกรรมที่คุณทำ) ยกตัวอย่างลดน้ำหนักของตัวเอง
•       การออกกำลังกายกิจกรรมที่สำคัญแต่ไม่เคยได้ผล --> ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์
•       การลดน้ำหนักมันเกี่ยวข้องกับความสำเร็จไหม? มันสุดจะเกี่ยวข้องเลย ถ้าคุณมีวินัยใน 1 พื้นที่คุณจะมีมันในพื้นที่อื่น --> ถ้าเราวางแผนทุกเดือน และมีวินัย ทำไมมันจะไม่ถึงผลลัพธ์

PR ญาญ่าซัง
•       เปลี่ยนคนอื่นยากที่สุด ให้เปลี่ยนที่ตัวเอง
•       วิธีคิด --> คิดบวก + ความเชื่อตัวเอง + พันธะสัญญา
•       คนจะเชื่อเราเขามองที่ผลลัพธ์ของเราก่อน
•       กลัวทำไม กลัวมาทั้งชีวิตแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ
•       ใช้ความเชื่อของตัวเอง + ผลลัพธ์ของอัพไลน์
•       หามะนาวที่มีน้ำดีกว่าไปเสียเวลาคั้นมะนาวไม่มีน้ำ

PR คุณแป๋ว ชฎาพร
•       เป็นคนขี้เกียจ --> เหมาะมากเพราะมีคานผ่อนแรง
•       โชคดีที่คิดเป็น อดีตเดิมแม่บ้าน รอบบ้านมีแต่สมาคมคนหวังดีแห่งโลก
•       ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ต้องทำเป็น รีบทำถ้ามันได้ผลลัพธ์ ไม่เสียเวลาทำความเข้าใจเยอะ เอาเวลาไปช็อปปิ้งดีกว่า
•       อัพไลน์ไม่ได้ 360 องศาทุกคน แต่ทุกคนทีสิ่งดีๆ แต่ละด้านเสมอ
•       ฝึกความรับผิดชอบให้ดาวน์ไลน์ ขยาย Mindset ให้ดาวน์ไลน์
•       อย่าคิดเยอะ คิดเยอะแล้วได้อะไร เขาไม่เอาแล้วยังไง คร่ำครวญเกิน 1 วินาทีก็เยอะไปแล้ว เอาเวลาไปทำเยอะๆ ดีกว่า ถ้าผลลัพธ์ยังไม่เกิดแสดงว่าคุณยังลงมือทำไม่มากพอ คุณใช้เวลาเยอะๆ คนที่คุณรักเขามีเวลารอคุณได้นานแค่ไหน ฉันเลือกผลลัพธ์แล้วฉันแลก ไม่ใช่ลองทำ

PR อ๊อด ปวีณวัชร์
•       ได้สติตอนออกมาจากรถที่มันคว่ำ
•       เจอมหาโจรที่ปล้นความรัก ความสุข เงิน ความมั่งคั่ง ของคุณมาชั่วชีวิต มหาโจรคนนั้นมันคือใคร?
•       เลือก HPL ด้วยความรัก

PR เก๋เนาวรัตน์
•       ขบวนการในความคิดในการสร้างสิ่งใหม่ๆต้องเกิดจากการเห็นความเป็นไปได้ และ มีจินตนาการและเชื่อมากพอ....
•       คุณต้องเชื่อว่าผลลัพธ์นั้นมีอยู่จริง...และคุณเชื่อว่าคุณทำได้....
•       เป้าหมายและเส้นชัยในชีวิต ที่คุณต้องการคือผลลัพธ์ในชีวิติคุณคืออะไร? บางคนมีความรู้สึกถึงความปลอดภัยเมื่อมีเงินในธนาคารมากๆ แต่นั่นคือพันธนาการที่มัดตรึงคุณให้อยู่ในพื้นที่ๆ ไม่มีอิสรภาพ....คุณกำลังใช้เวลาในการหาเงินเพื่อสร้างความสุขที่แท้จริงอีกนานแค่ไหน....
•       ความสำเร็จเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ x=y เอาสมการนี้ไปทาบลงไปในทุกบริบทของชีวิต คุณเลือกอะไร แล้วคุณจะแคร์คนอื่นเขาคิดอย่างไรหรือไม่?
•       ต้องเริ่มที่กระบวนการคิดก่อน ความคิดมันต้องข้ามฝั่ง (Passive)
•       ถ้ากระบวนการความคิดมันไม่ข้ามฝั่ง (Passive/Owner) เมื่อ OV เขาลดคิดว่าเขาจะอดทนหรือไม่ แต่ถ้าความคิดเขาข้ามฝั่งแล้ว (Passive) ต่อให้ OV เขาลด เขาก็ยอมยืนหยัดสู้ต่อไป

วิธีคิดที่ถูกต้อง
- รู้เป้าหมายชีวิตชัดเจน
- ใส่ความหมายที่ใช่ของเป้าหมายชีวิตทำไมเราต้องสำเร็จ
- ศึกษาระบบความสำเร็จและต้องทำ
- หาต้นแบบที่สอดคล้องกับผลลัพธ์
- เอาความคิดฝั่งซ้ายคิดเหมือนคนสำเร็จ
- วางแผนระดับชีวิต ระยะกลาง ระยะสั้น และกระบวนการประจำวัน
- เชื่อเข้าใจ อดทนและรอคอยความสำเร็จ

PR ณกรณ์ ไกรรณภูมิ
•       ทัศนคติ: คือสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เป็นไปได้
•       คือทุกสิ่งในธุรกิจ ความสำเร็จต้องอาศัยการสั่งสมโดยมีระยะเวลา
•       ทัศนคติ ถูกต้องกับธุรกิจต้องมาก่อนถึงจะใหญ่และดีแต่ไม่ถูกต้องก็สำเร็จยาก
•       บริษัทที่ถูกต้อง ยูนิซิตี้ ไม่ผิดกฎหมายไม่ทำร้ายใคร ได้ HPL 100%
•       Unipower คือวิธิการที่ง่ายและได้ผลแน่นอน
•       ทีม อัพไลน์เป็นเหมือนป้ายบอกทางเป็นคู่คิด ทีมจะเดินเคียงคู่คุณไปจนถึงเป้าหมาย 3-5 ปีคุณ
•       หลายคนมีทัศนคติแบบเน็ตเวิร์คเดิมๆ ที่มองว่าอัพไลน์คือเม่ทีม แม่ที่ต้องทำให้ฉันทุกอย่าง --> แต่ที่นี่อัพไลน์คือป้ายบอกทาง
•       คุณ เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน คุณต้องมีทัศนคติที่ดี ฉันดีพอ ฉันคู่ควร ฉันทำได้

PR หนิง จันษกร เจนสุธรรมมา
•       การพัฒนา ฝึกฝน เรียนรู้ ลงมือทำ เป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบเป็นแบบอย่างที่ดีให้องค์กร
•       ความสำเร็จมาจาก “การเรียนรู้ ฝึกฝน ลงมือทำซ้ำๆ”
•       อดีตมาจากแม่บ้าน คำว่าผู้นำไม่เคยรู้จัก คำว่าแบบอย่างไม่เคยรู้จัก รับผิดชอบให้สามีรับผิดชอบ
•       เริ่มต้นจากคำว่ากลัว กลัวดูไม่ดี กลัวเขาไม่เห็นด้วย กลัวเพื่อนว่า กลัวเพื่อนไม่คบ กลัวเขาหาว่าไม่มีอะไรทำ
•       กลัวที่สุดคืออัพไลน์เก่ง --> บอกตัวเองว่าที่นี่คงไม่เหมาะกับเรา แต่อยากได้ผลลัพธ์ เห็นผลลัพธ์มันใหญ่จึงเลือก
•       เลือก --> ตัดสินใจอยากสำเร็จ วิ่งหาอัพไลน์ ตัดสินใจบินไปเชียงราย พูดกับคน 200 คน แค่ 5 นาที การตัดสินใจครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิต

PDi พิทักษ์ เวียงสิมา
•       วันนี้เมื่อคุณตัดสินใจเพื่อเป็นไดมอนด์ คุณต้อง "ไปให้เต็มศักยภาพ"
•       คุณจะไม่รู้เลยว่าศักยภาพคุณมีเท่าไหร่จนกว่าคุณจะลงมือทำและพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง อย่างเช่นแนวคิดสตีฟ จ๊อฟ เจ้าของแอปเปิ้ล มีปัญหาสุขภาพเป็นมะเร็งแล้วไปรักษาตัวเองในป่าและชอบดูแลสุขภาพตัวเองด้วยแอปเปิ้ล
•       Today is the last day your life = คุณจะไม่มีเงื่อนไขกับความสำเร็จของคุณ คุณจะลงมือทำในทุกสิ่งที่คุณอยากทำ
•       คุณต้องใช้ศักยภาพในตัวคุณ คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณแต่ยังไม่เอาออกนำมาใช้ จนกว่าเราจะถูกกระตุ้น แล้ววันนี้คุณทำเต็มศักยภาพเพื่อคนที่คุณรักแล้วหรือยัง.... ถ้าวันนี้มีคนที่ทำได้เราก็ทำได้.....แล้วคุณเชื่อมั้ย?
•       แม่เหล็กที่แตกต่างเหล็กคือ โมเลกุลจะเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ แม่เหล็กจึงมีพลังดึงดูดได้ วันนี้คุณจึงต้องพัฒนาความสามารถของคุณให้สอดคล้องกับศักยภาพที่จะเกิดขึ้นกับคุ
•       ถ้าวันนี้คุณเลือกตำแหน่ง คราวน์ไดมอนด์ผมเชื่อว่า ศักยภาพในตัวคุณจะถูกพัฒนาไปได้มากกว่านี้....ผมเชื่อพวกเราทำได้

PDDi ภาวดล นาสารีรัตน์ คุณเก๋ ภาวดล
•       "ความเชื่อ" คนที่สำเร็จช้าหรือล้มเหลวเพราะลังเลและสงสัย จนเกิดคำถามที่ทำให้หยุดตัวเอง อย่าใช้คำถามว่า "ทำไม"
•       ถ้าคุณเชื่อมั่นในความสำเร็จความสำเร็จจะมาอย่างรวดเร็ว อย่ามัวค้นหาความสำเร็จจากภายนอก เราต้องเริ่มสร้างจากภายในหรือจากตัวเราก่อน.เพื่อกำหนดภายนอก.
•       จะมีคนอีก 1% หรือเป็นวิธีคิดของคนสำเร็จเขาเลือกจะไปต่อ มักจะถามว่า "ทำอย่างไร" อย่าใช้คำถามถอยหลังคุณต้องใช้คำถามที่ทำให้เดินหน้าและไปต่อ
•       ผู้นำที่ดีคือผู้นำที่เป็นแบบอย่าง การเริ่มต้นสร้างผู้นำสร้างที่ตัวคุณเองก่อนแล้วมันจะไป Impact องค์กรคุณ
•       ทำอย่างไรจะได้เป็น Crown Diamond ไม่ต้องคิดมากอัพไลน์คิดไว้ให้แล้ว
•       ตัดสินใจ ถ้าเราไม่ตัดสินใจประสบความสำเร็จเพื่อองค์กรแล้วเขาจะเดินตามใคร
•       ออกไปให้โอกาสผู้คนด้วย Passion แรงปารถนา ถ้าไปด้วย ความอยากเป็นอารมณ์ กิเลศ ให้ไปด้วยความปารถนา ต้องการช่วยเหลือผู้อื่นที่มาจากหัวใจ
•       ๏ Be(Crown Diamond ) ตัดสินใจ ต้องมีความเชื่อ 2 ความเชื่ออย่าง 100%
•       คนสำเร็จชอบบริโภคหลักฐานความสำเร็จ คนล้มเหลวชอบบริโภคหลักฐานความล้มเหลว คุณอยากให้คนทั่วโลกเชื่อเครื่องมือของคุณใครต้องเชื่อก่อน? ความเชื่อหรือความอยาก Copy ได้
•       Be business + Be Product
- อยากสวยไวหรืออยากสวยช้า --> กินให้ถึง 500PV กินถูกวิธี กินแบบมีวินัย
•       ความเชื่อในธุรกิจ - การลงมือทำ -ผลลัทธ์ X ซังกะตายเพราะ Y ไม่เร้าใจ

•       ยกตัวอย่าง แม่บ้านที่ฮ่องกงพี่ไพศูรย์ แม่บ้าน ป.4 มีเวลาทำงานแค่สัปดาห์ละ 1 วัน ใช้เวลา 1 เดือนขึ้น EM แต่ละ Week ต้องนั่งรถไฟจากหวั่นฉายมาฮ่องกง หอบกาแฟเป็นถุงๆ กลับไปให้ดาวน์ไลน์กลุ่มแม่บ้านคนไทย เธอใช้โปรดักทุกอย่าง 40 ปีถูกกดขี่ข่มเหง วันที่ได้ขึ้นไปแชร์โปรดัก 5 นาทีด้วยหัวใจ คนฮ่องกงมาขอถ่ายรูปขอลายเซ็น นี่คือสิ่งที่ขาดหายไปตลอด 40 ปี ตอนนี้เขามี EM เกิดทุกเดือน
•       ขนาดของความสำเร็จขึ้นอยู่กับขนาดในความเชื่อของคุณ
•       ความเชื่อ100% เท่ากับ ความสำเร็จและความสุข 100 %

PDDi คุณหมอตาล
•       "อะไรที่ควรรู้ อะไรที่ไม่ควรรู้"
•       คนล้มเหลวรู้ 99 เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ รู้มากแต่ไม่มีผลลัพธ์ ...
•       รู้ไปหมดทุกเรื่อง ตายเพราะความรู้ พวกรู้เยอะไม่มีใครตายดีสักคน
•       อย่าคิดเยอะ คิดมาก กลายเป็น"นางรู้ดี แต่ไม่มีผลลัพธ์"หรือกลายเป็น "นายรู้มาก แต่ยากจน"
•       อย่าให้ความสำคัญกับการกระทำคนอื่นมากกว่าผลลัพธ์ความสำเร็จของตนเอง รู้แล้วไม่เกิดผลลัพธ์ เคยถามตัวเองมั้ย" รู้ไปทำไม
•       เรียนรู้เพียงแค่ความสำเร็จของตัวเองก็เพียงพอ
•       คนสำเร็จต้องการรู้เพียงว่าจะเอาผลลัพธ์ความสำเร็จมาได้อย่างไร รู้จริงในสี่หุ้นส่วน ที่สามารถเป็นคานผ่อนแรงให้สำเร็จบริษัท + ระบบยูนิพาวเวอร์ + ทีม + You
•       เรียนรู้แบบมืออาชีพ 8 Step มันยากตรงไหน, KPI มันยากตรงไหน? สร้างได้เร็กเตอร์ก็แค่สร้าง QP ให้เป็น
•       เรียนรู้เรื่องการให้ การให้เป็นต้นเหตุของการได้มา หลายๆ คนไม่มีจิตใจในการให้ มันผิดคอนเซ็ปต์ของที่นี่ Make Life Better ยกตัวอย่าง ดร.นิพนธ์ ท่านให้ทุกคนให้ทุกที่
•       คนที่ชาญฉลาดเรียนรู้จากการเป็นผู้ให้ ผู้คนอีกเยอะแยะมากมายในประเทศไทย เรา Sponsor ไม่หวาดไม่ไหว ไม่ต้องไปขีดเส้นเบ่งตรงไหนพื้นที่ใคร
•       ตื่นขึ้นมาออกไปให้ ให้ ให้
•       หลายคนไม่ออกไปให้กลัวเขาไม่เอา กลัวผิดหวัง ถ้า Mindset แบบนี้แสดงว่าไม่มีหัวใจของการให้
•       กฎ 10,000 ชั่วโมง คนเราจะมีทักษะ ความชำนาญ ในด้านใดต้องมีการฝึกฝนทักษะอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง
•       ให้แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เสียสละให้ผู้คนสร้างชีวิตที่ดีขึ้น การให้โดยไม่คาดหวัง ไม่หวังผลตอบแทน ไม่เลือก ว่าเขาเป็นใครให้เขาเข้าความสุข 100 %



PTDi รสา
•       การเรียนรู้ใน Unipower คือ การเรียนรู้จากการลงมือทำไม่ได้จบในการเรียนรู้ในห้องเรียน ให้เรียนในห้องเรียน 1 วันแล้วออกไปลงมือทำ 29 วัน
•       สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อออกไปเจอความล้มเหลว คำปฏิเสธ คุณก็หยุด และสงสัยว่ามันเวิร์คจริงหรือเปล่า
•       คนสำเร็จเมื่อล้มเหลว เขาเรียนรู้เป็นบทเรียนแล้วกลับมาถามอัพไลน์ เพื่อจะไม่ให้ล้มเหลวอีก แล้วก็ไปต่อ
•       การเรียนในคลาสไม่ใช่รูปแบบของ Unipower แต่การเรียนรู้จริงๆ คือ คุณต้องออกไปล้มเหลว เรียนรู้ เรียนรู้จากประสบการณ์
•       สำคัญคือเกิดปัญหาอะไรก็ตาม ต้องถามว่าเท่าไหร่ที่จะแก้ปัญหา ถ้าปัญหาละ 100 ไม่ต้องไปแก้เรียกช่าง แต่ถ้าปัญหาละล้านจะแก้กี่ปัญหา
•       ทุกคนต้องเริ่มต้นว่าเขาอยากได้ Y อะไรก่อน ให้เลือกก่อน ว่าต้องการ Y ฝั่งซ้าย หรือ ขวา ให้เขาครอบครอง Y ก่อน แล้วเขาจะไม่เกี่ยง X เขาจะ Take Ownership
•       สิ่งที่คุณมอง มันมีผลต่อความเชื่อของคุณ
•       การ Take Ownership ความรับผิดชอบ/ความครอบครองแบบ 100% หรือ 10% มันจะส่งผลต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
•       สมการ ความเชื่อ --> Take Ownership --> Action
•       Action ของคุณรสา
•       พูด Pattern เดิมเป๊ะ จนเป็น Triple Diamond แต่การลงมือทำจนมากพอ จนเป็นศิลปะ เรียน 1 วันอีก 29 วันคือลงมือทำ
•       เรียนรู้แล้วออกไปล้มเหลวซะ คือวิธีการเรียนของ Unipower
•       IKASH    I: Imagine – จินตนาการ
K: Knowledge – ซีดี หนังสือ งานฟังก์ชั่น
A: Attitude – ถูก ดี ใหญ่
S: Skill – เรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเอง
H: Habit – ทำจนเป็นประจำ สม่ำเสมอ
•       ใครออกไปคุยกับผู้คนแล้วยังตัวเล็กตัวน้อยอยู่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจปรัชญาของเรา Make Life Better ของผู้คนทั่วโลก
•       สำหรับกลุ่ม Elite คุณมีเครื่องมือคุณไม่ต้องรอให้มีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน ที่จะบริจาค ถ้าคุณมีเครื่องมือมันจะดีไหม ถ้าคุณต้องการส่งต่อและสร้างความแตกต่างให้ผู้คน

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กินปลาหมึกระวังคอเลสเตอรอลในเลือดจะพุ่งกระฉูด

ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ
 
"กินปลาหมึกระวังคอเลสเตอรอลในเลือดจะพุ่งกระฉูด”


เท็จจริงเป็นอย่างไร
คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองส่ว...นหนึ่ง และได้จากอาหารอีกส่วนหนึ่ง หากจะพูดถึงปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารทะเล อาจจะกล่าวได้ว่า ปลาหมึกจัดเป็นอาหารทะเลที่มีคอเลสเตอรอลสูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลหลายชิ้น ที่ระบุตรงกันว่า เราอย่าได้กลัวคอเลสเตอรอลจากอาหารเกินไปนักเลย โดยเฉพาะอาหารทะเลซึ่งถือเป็นอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ อุดมไปด้วยแร่ธาตุสังกะสีและไอโอดีน แม้ว่าปลาหมึกจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็จัดเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ ซึ่งมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของคนทั่วไปไม่มากนัก
ส่วนอาหารที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด คืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ ไขมันนม เนย รวมถึงไขมันทรานส์ซึ่งพบมากในมาการีน เนยขาว ครีมเทียม และอาหารที่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น เค้ก คุกกี้ พาย ขนมอบต่างๆ
ดังนั้น การควบคุมระดับคอเลสเตอรอล จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์สูง มากกว่าการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากวัตถุดิบที่ร่างกายใช้ผลิตคอเลสเตอรอลแหล่งใหญ่ๆ ไม่ใช่คอเลสเตอรอลจากอาหาร
แต่เป็นไขมันอิ่มตัวจากอาหาร
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจาก ดร.สุพิศ ทองรอด นักวิชาการด้านอาหารของกรมประมง ที่ระบุว่า ถึงแม้ปลาหมึกจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลได้
บางคนมีระดับคอเลสเตอรอลสูงจากกรรมพันธุ์และวัย แต่หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ไม่เครียดมาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป
สิ่งที่ควรระมัดระวังจากปลาหมึก น่าจะเป็นโลหะหนักที่สะสมในสัตว์ทะเล เช่น แคดเมียม เคยมีการสุ่มตรวจปลาหมึก ทั้งที่มีขายทั่วไปในไทยและที่ส่งออก ผลปรากฏว่าพบปลาหมึกที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม มีทั้งที่ไม่เกินเกณฑ์และที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ปริมาณแคดเมียมในอาหารที่ยอมรับได้คือ ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม
ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม
แคดเมียมเป็นโลหะหนักที่ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า กระดาษ
หมึกพิมพ์ และสี เศษแคดเมียมจะสะสมในดินและดินตะกอนใต้น้ำ
ปลาหมึกแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารแคดเมียมไม่เท่ากัน โดยจะพบแคดเมียมในปลาหมึกสายและปลาหมึกกระดองมากกว่าปลาหมึกกล้วย เนื่องจากปลาหมึกกล้วยหากินกลางทะเล ส่วนปลาหมึกสายและปลาหมึกกระดองหากินตามผิวดินเขตน้ำตื้น ซึ่งตะกอนดินในเขตน้ำตื้นจะมีโลหะหนักสะสมอยู่มากกว่า ดังนั้น หากเลือกได้ กินปลาหมึกกล้วยจะปลอดภัยกว่าปลาหมึกสายหรือปลาหมึกกระดอง
แคดเมียมจะสะสมอยู่มากในไส้มากกว่าส่วนเนื้อ โดยเฉพาะในมันและถุงทราย ดังนั้นการควักไส้ปลาหมึกออกทิ้ง แล้วล้างให้สะอาด จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น
หากร่างกายได้รับแคดเมียมในปริมาณต่ำ ๆ จะไปสะสมในไต เช่นเดียวกับโลหะหนักอีกหลายชนิด หากร่างกายสะสมแคดเมียมมากเกินไป ในระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคกระดูกโปร่งบางหรือกระดูกพรุน โดยจะไปรบกวนการทำงานของวิตามินดี แคลเซียม และคอลลาเจน
ส่วนพิษเฉียบพลันของแคดเมียม หากได้รับปริมาณมากๆ ในคราวเดียว อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เป็นตะคริว หรือท้องเสียอย่างแรงได้ โลหะหนักหลายชนิดจะดูดซึมได้ดีในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ จึงควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกินในเด็กให้ดี
นอกจากโลหะหนักแล้ว สารเคมีอันตรายที่อาจพบได้ในปลาหมึกก็คือ ฟอร์มาลีน ซึ่งมีการนำมาใช้กับอาหารทะเลและผักสด เพื่อให้คงความสด ไม่เน่าเสียเร็ว ก่อนซื้อควรดมดู หากมีฟอร์มาลีนจะได้กลิ่นฉุนชัดเจน
หากรับประทานอาหารที่มีสารฟอร์มาลินตกค้าง อาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ท้องเดิน หมดสติ และถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสัมผัสอยู่เป็นประจำจะเกิดการสะสม ทำให้ผิวหนังระคายเคือง และอักเสบ มีผลเสียต่อการทำงานของตับ ไต หัวใจ และสมอง
ปลาหมึกก็เหมือนกับอาหารอีกหลายชนิดในปัจจุบันที่อาจต้องเสี่ยงกับสารอันตราย อย่างไรก็ตาม หากคนเราได้รับสารพิษหรือโลหะหนักคราวละน้อยๆ ร่างกายจะสามารถขับออกได้บางส่วน
ดังนั้น หากเรากินอย่างพอดี ไม่มากเกินไป ไม่บ่อยเกินไป เราก็ยังเอร็ดอร่อยกับเมนูปลาหมึกได้โดยไม่ต้องคอยห่วงเรื่องสารพิษ รวมถึงคอเลสเตอรอล

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว เพิ่มพลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ

เราเชื่อว่าหลายคนประสบปัญหาการคิดงานไม่ออก เริ่มต้นตัวอักษรมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนเสียที ตั้งใจไว้ดิบดีว่าวันนี้ต้องทำงานกี่ตัว ทำอย่างไรให้เสร็จ แต่สมองเนี่ยมันไม่พร้อม แล้วเราจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไรให้สมองของเราพร้อมที่จะคิดงานยากๆ หรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา วันนี้เรามีเคล็ดลับที่คุณสามารถทำได้มาฝาก ลองปรับไปทีละนิดทีละน้อย รับรองว่าปัญหาการคิดงานไม่ออก จะไม่เกิดขึ้นกับคุณง่ายๆ แน่นอน


1. หาอะไรใหม่ๆ ทำ
เชื่อหรือไม่ว่าสมองคนเราชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หากสมองทำแต่สิ่งเดิมๆ มากเกินไป มันอาจจะถึงจุดที่ไม่อยากเรียนรู้อะไรอีกแล้ว ลองสังเกตตัวเองเวลานั่งทำอะไรเดิมๆ เป็นเวลานานๆ นั่งทำงานอยู่ในคอกเล็กๆ จนเป็นรูทีน หัวสมองก็จะตื้อๆ ตึงๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก ลองหาเวลาไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เช่น เรียนวาดรูป ถ่ายภาพ เล่นกีฬาชนิดใหม่ หรือแม้แต่การเรียนภาษาใหม่ๆ ก็ช่วยกระตุ้นให้สมองได้ตื่นตัวมากขึ้น

2. เขียนบันทึกสิ่งต่างๆ ด้วยดินสอ หรือปากกา
ในยุคที่เราบันทึกทุกสิ่งอย่างลงบนสมาร์ทโฟน เพราะมันสะดวกสบายและใกล้มือ แต่เชื่อไหมว่าสิ่งนี้อาจทำให้สมองเราหลงลืมสิ่งต่างๆ และขาดการพัฒนาได้ จากผลงานวิจัยบางตัวยังชี้ไว้ด้วยว่า การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ในภาษาใหม่ๆ ของผู้ใหญ่นั้น คนที่จดคำศัพท์เหล่านั้นด้วยกระดาษจะสามารถจดจำคำศัพท์เหล่านั้นได้ดีกว่า ผู้ที่ใช้วิธีการพิมพ์ หรือบันทึกลงสมาร์ทโฟน ข้อนี้เราขอนั่งยันนอนยัน เพราะวัดจากตอนเรียน เวลาจดสิ่งต่างๆ ลงกระดาษสามารถทำข้อสอบได้ดีกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว

3. โยกๆๆ โยกเข้าไปให้มันหลุดโลก
แถวนี้มีใครเป็นขาแดนซ์บ้างคะ มีผลงานวิจัยจากบางสถาบันได้แนะนำว่าการจะบูสต์พลังสมองให้ได้ประสิทธิภาพนั้น การเต้นถือเป็นอีกหนทางหนึ่งที่สามารถช่วยได้ เพราะขณะที่คุณเต้นนั้นร่างกายจะได้แพลนท่าทางที่คุณจะเต้นโชว์สาวๆ ออกไป ได้จับจังหวะเพลง กับท่าทางให้เข้ากัน ใครที่เต้นไม่ค่อยเป็นลองหัดเต้นดูค่ะ ยังไม่สายเกินไป แถมยังได้พลังสมองเพิ่มด้วยนะ

4. คิดแต่เรื่องในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วค่ะ และการคิดแต่เรื่องดีๆ ก็ช่วยกระตุ้นให้สมองของเราตื่นตัว เพราะความเครียด และความกังวลมันจะไปหยุดการทำงานของเซลล์ประสาทที่จะช่วยให้คุณได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ มีผลวิจัยที่อ้างว่าการคิดแต่สิ่งดีๆ ช่วยสร้างเซลล์ประสาทที่จะไปต่อต้านความเครียด ผู้นำระดับโลกมักจะใช้วิธีการนี้เวลาเขาเผชิญปัญหาร้ายแรง ด้วยการมองให้มันเป็นเรื่องที่ดีเข้าไว้ ลองคิดดูถ้าคุณเจอเรื่องแย่ๆ มา แล้วยังคิดตอกย้ำตัวเองว่ามันคือเรื่องแย่ ชีวิตจะมีแรงไปสู้กับใครเขา

5. อ่านหนังสือ
การอ่านหนังสืออย่างไรก็มีแต่ประโยชน์ล้วนๆ อยู่แล้ว เพิ่มพูนความรู้ แถมยังบูสต์พลังให้สมอง และช่วยบรรเทาความเครียด เพราะการอ่านหนังสือเป็นหนทางที่ดีมากในการเพิ่มจินตนาการ คิดสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นภาพ การที่สมองของเราได้จินตนาการสิ่งต่างๆ อย่างไม่รู้จบ คือการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มพลังสมองที่ดีมากค่ะ
 
6. กินอาหารที่มีประโยชน์
เรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่าการกินอาหารให้ครบห้าหมู่ และออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอนั่น ให้ประโยชน์กับร่างกายของเราแบบภายในไปสู่ภายนอกเลย เคยได้ยินไหมคะว่า กินปลาเยอะๆ จะได้ฉลาด เนื่องจากสารอาหารอย่างโอเมก้า 3 ในปลานั้นมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง น้ำมันตับปลา หรือแม้แต่ผลไม้สดก็ควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายดีสมองก็ดีตาม

7. มีเซ็กส์
มีผลงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุไว้ว่า การมีเซ็กส์สามารถช่วยเพิ่มทักษะ และกระบวนการรับรู้ให้แก่ร่างกายของเรา เนื่องจากสารเซโรทินีนที่หลั่งออกมาในขณะที่เรามีเซ็กส์นั้น จะช่วยเพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มตรรกะในเรื่องของการตัดสินใจ

8. อารมณ์ขันช่วยได้
เชื่อหรือไม่ว่าอารมณ์ขันเพียงเล็กน้อยที่คุณมี ช่วยสร้างเสน่ห์ให้คุณได้มากโข นอกจากจะสร้างเสน่ห์แล้ว ยังกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวด้วย มีบางคนใช้เทคนิคก่อนเข้าพรีเซนต์งานชิ้นใหญ่ๆ ด้วยการส่งรูปภาพขบขันให้คนในที่ประชุมดู การที่ทำให้พวกเขาได้หัวเราะก่อนที่จะเจอเรื่องเครียด ช่วยทำให้สมองของเขาการที่จะเปิดรับเรื่องที่ครีเอทได้มากขึ้น ถ้าคุณคิดว่ารูปที่คุณมีฮาพอ ก็ลองนำเทคนิคแบบนี้ไปใช้ดูก็ได้นะคะ

9. นั่งสมาธิ เพ่งสติ
ศาสตร์ของการนั่งสมาธิเป็นอะไรที่แพร่หลายไปทั่วโลก ฝรั่งมังค่าต่างก็หันมานั่งสมาธิกันมากขึ้น การนั่งสมาธิเพื่อดูสติ รับรู้ว่ากาย และจิตเราคิดอะไรอยู่ รับรู้ ควบคุม ปล่อยวาง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายพร้อมที่จะตั้งสติ และพร้อมคิดเรื่องใหญ่ๆ ละเอียดอ่อน พูดง่ายๆ คือการฝึกให้ร่างกายสามารถควบคุมความคิดที่ฟุ้งซ่าน หรือตัดสิ่งเร้าออกจากตัวได้ เราก็สามารถคิดงานได้แบบเต็ม 100 %

10. เล่นเกมสักหน่อยช่วยได้แน่นอน
อย่ามองว่าการเล่นเกมเป็นเรื่องไร้สาระซะทีเดียว หากคุณมีลิมิต และแบ่งเวลาของตนให้บาลานซ์กันได้ การเล่นเกมก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร ลองดูพวกเกม Puzzle อย่างพวก Tetris , Dot, 2048  หรือ sodoku เกมที่ต้องใช้สมองทั้งหลาย สามารถช่วยเพิ่มทักษะในการคิดเพื่อเอาชนะเกม และเพิ่มเลเวลของตัวเองให้มากขึ้น พักเที่ยงจะเล่นเกมสักสิบยี่สิบนาทีก็ไม่มีใครว่าค่ะ

11. งีบหลับ พักให้เป็นเวลา
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง google ยังต้องมีที่นอนไว้เพื่อให้พนักงานในบริษัทได้งีบหลับระหว่างวัน ผลงานวิจัยจากหลายแห่งก็ยังยืนยันว่าการงีบหลับช่วยทำให้สมองซีกขวาของเราทำงานได้ดีขึ้น และช่วยทำให้ความจำดีขึ้นด้วย บริษัทไหนอยากให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉงต้องลองนำไปปรับใช้ดูค่ะ ดูประโยชน์ของการงีบหลับได้ที่นี่

12.นอนให้เต็มอิ่ม
สุขใดไหนเล่า จะสู้การกินอิ่ม และนอนหลับ หลายๆ คน ยิ่งคนที่ทำงานเยอะ รับผิดชอบอะไรหลายอย่าง มักจะมีปัญหาในการนอนหลับ เพราะต้องนั่งคิด นอนคิด สิ่งที่ตัวเองต้องทำในแต่ละวัน ก็เลยไม่ได้นอน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะคะ การอดหลับอดนอนเนี่ย เพราะขณะที่คุณนอนหลับเท่ากับเป็นการดีท๊อกซ์สมอง เป็นหนทางที่ร่างกายจะได้สร้างเซลล์ใหม่ๆ เพราะฉะนั้นการนอนหลับให้เพียงพอ 8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเรื่องที่ดีมาก ช่วงเวลาตั้งแต่สามทุ่มถึงเที่ยงคืน เป็นช่วงเวลาที่ดีค่ะ ใครชอบนอนหลังตีหนึ่งลองปรับพฤติกรรมดูนะ ส่วนใครที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ แนะนำให้หาหมอรักษาด่วนๆ เลย
ลองนำไปปรับใช้กันดู หรือใครที่มีทริคเด็ดๆ เวลาคิดอะไรไม่ค่อยออก ลองแบ่งปันให้  คนอื่นๆ ได้เรียนรู้บ้างก็ดีนะคะ หรือหากนำไปใช้แล้วได้ผลไม่ได้ผลอย่างไร ก็กระซิบมาบอกเราได้เช่นกันค่ะ

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Vision Revolution

Revolution แปลว่า การเปลี่ยนเเปลงอย่างสิ้นเชิง,ปรากฏการณ์ใหม่,การปฎิวัติ

Business Revolution คือ การพลิกโฉมทางธุรกิจ

ข้อดีของธุรกิจ คือลงทุนน้อย เข้าถึงได้ทุกคน แต่เรามาทำเป็นข้อเสีย ลงทุน3หมื่น ทำ2-3เคสไม่ได้ก็เลิกไปเลย
BOP 900.- ดูบ้างไม่ดูบ้าง        ถ้าลงทุนซักล้านจะทำจะฟังจะดูแบบไหน...ไม่ได้!ไม่ได้!ใช่มั้ย

หลักการทางการตลาดที่ปรมาจารย์ทางการตลาดของโลกได้เขียนไว้ในหนังสือ
"ทำการตลาดอย่างไรให้โดนใจลูกค้าตลอดการ Marketing3.0"
ที่ไม่มีนักการตลาดคนไหนในโลกไม่รู้จัก "ฟิลิป คลอสเลอร์"

 1.Prosumer *networkอื่นพูดได้* แบ่งยุคการตลาดไว้ดังนี้

ยุค1.0  ผู้ผลิตเป็นใหญ่ ผลิตสินค้าเหมือนๆกันเช่นรถยนต์ผลิตออกมาทุกคนต้องใช้เเบบเดียวกัน
ยุค2.0  เริ่มแบ่งเป็นsecment เริ่มคำนึงถึงผู้บริโภคเช่นผู้ชาย/ผู้หญิง,อร์ต่างๆ,รูปแบบต่างๆ
ยุค3.0  ให้เกียรติผู้บริโภค,ผู้บริโภคเป็นใหญ่  เเยกเเยะ ความเเตกต่างตาม lifestyle ของเเต่ละบุคคล เนื่องจากคนเรามีการสื่อสารกันมากขึ้น ไม่เชื่อการโฆษณาต่างๆ เช่นเชื่อมั้ยว่าอั้มใช้มิสทีน,นิชคุณขับยามาฮ่าเราอยู่ต้นกระแสMarketing 3.0

            Marketing แบ่งเป็น

                  Old model หลักการตลาด40:60    ต้นทุน:40ค่าการตลาด:60บริโภค:100

                   โรงงาน→ขนส่ง→โฆษณา→ค้าส่ง→ค้าปลีก→บริโภค
                   เช่น น้ำขวด10บาท ต้นทุน 3บาท,ชาเขียว20บาท ต้นทุน5บาท

                  New model คือรูปแบบการตลาดที่สินค้าจากโรงงานถึงผู้บริโภคที่เป็นprosumer
                   โรงงาน→prosumer→prosumer→prosumer

     ปัจจุบัน เป็นการตลาดเเบบบอกต่อ พิสูจน์จากคนใกล้ตัวใช้ดี ได้ผล

ธุรกิจยูนิซิตี้จ่ายให้เเก่นักธุรกิจสูงมากได้ถึง7-8หลักเนื่องจากบริษัทไม่ต้องจ่ายค่าการตลาด60%
จึงจ่ายตรงมาให้นักธุรกิจอย่างเราเกือบทั้งหมด

 จุดเปลี่ยน-Band royalty-House band-Internet-Producer
 เจ้าของตรา→ได้เงิน-Consumer ลูกค้า→ได้สินค้า

ธุรกิจต่างๆ พยายามสร้าง Brand royalty ให้เกิดกับสินค้าของตัวเองเเต่ผู้บริโภคกลับสนใจของถูก,ของเเถม ซึ่งผู้เป็นช่องทางการจัดจำหน่าย          ขนาดยักษ์ใหญ่คือ Lotus, Macro สร้างHouse brand ราคาถูก สูตรใกล้เคียงกับสินค้าที่เป็นที่นิยมมาวางขายคู่กันตีตลาดบนเเผง      เจ้าของbrandต่างๆอยู่ในอันตราย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก*

 ยุค3.0 prosumer : มาจากคำ 2 คำ รวมกัน คือ1.producerเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท,เราเป็นเจ้าของตราสินค้า  เราได้เงิน 2.เราเป็น comsumer กินเเล้วได้เงิน

ธุรกิจอื่น พาไปเที่ยวกับดาราไม่กี่คน เป็นสปอนเซอร์ฟุตบอล หรือ รถเเข่งฟอร์มูล่าวัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับเราเเต่ที่นี่เราไปกันทั้งเเก๊งหลักร้อยหลักพันไปกันหมด

VIP code ราคา 30,000 บาท หมายถึงความเป็นเจ้าของธุรกิจระดับโลก

2. Personal franchise *networkอื่นก็พูดกัน*

ธุรกิจFranchisc ประกอบด้วยMaster Franchisc→CPFranchisee→7-11
1.ขาย  2.ขยาย ต้องลงทุนเพิ่ม,ไม่เกิน10สาขา  3.Zoning ผู้ซื้อไปซื้อสาขาอื่นไม่ส่งรายได้ถึงเรา,รัศมีทำการไม่เกิน1ซอย  4.ลงทุน3ล้าน 5.รายได้5หมื่นบาท/เดือน คนที่ซื้อแฟรนไชส์7-11คือเค้าต้องการการันตีรายได้   6.เราได้"เงิน"อย่างเดียว    7.Fix cost ทั้งค่าพนักงาน ค่านำ ค่าไฟ

Personal Franchiseยูนิซิตี้ เป็น franchisee เพียงครั้งเดียว ลงทุนvip code ครั้งเดียว เเต่เป็น master  ได้ตลอด ทุกคนสมัครต่อจากเรา เราก็เป็นmaster franchiseของธุรกิจนี้เอง1.ขายก็ได้ 25%2.ขยายแบบไม่จำกัด,ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม3.ไม่เป็นzoningทำได้ 50 ประเทศทั่วโลก เเละ 70 จังหวัดทั่วประเทศ4.ลงทุนหลักหมื่น 5.รายได้ไม่จำกัด เงินไหล6.ได้ทั้งเงิน+เวลา+สุขภาพ=HPL7.Fix cost 200 pvทุกเดือน เพื่อสุขภาพของเรา

PS.โอ๊ค จ่ายหมื่นสองแต่รับ4แสน
ธุรกิจนี้เเตกต่างพลิกโลกเพราะเป็น prosumer เเละ เป็น personal franchise (การรวมกันของ master กับ franchisee)

3.Nutraceutical ***only here***
Health industry เพราะคนป่วยเยอะขึ้น เนื่องจากโลกเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารที่มีเเต่สารเร่งความเครียดในชีวิตประจำวันและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

Pharmaceutical มีข้อดีเเต่ก็มีข้อเสียตามมา...สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ4ในสหรัฐ -โรคหัวใจ-มะเร็ง-ความผิดพลาดทางการแพทย์-ผลข้างเคียงของยาDeath by prescription, the side effect biblesเช่น เป็นเบาหวาน ได้รับจ่ายยากดไต จึงเป็นโรคไตต่อ

เราควรที่จะพึ่งคุณหมอซึ่งไม่มีเวลา หรือหันกลับมาดูเเลเราตัวเราเองตั้งเเต่ต้น

Wellness คือการป้องกันไม่ให้ป่วยการออกกำลังกาย ก็เป็นwellness เเละnutrition คือ อาหารเสริม→รักษาโรคไม่ได้,ไม่มีลิขสิทธิ์,ไม่มีผลข้างเคียง

Unicity คือ Pharmaceutical + Nutrition→Nutraceutical

คำถาม:ทำไมธุรกิจนี้ ไม่เข้าไปในโรงพยาบาล?

คำตอบ:โรงพยาบาลเป็นเเค่ sickness ถ้าธุรกิจของเราทำการตลาดครอบคลุมทั้ง 2กลุ่ม คือ sickness เเละ wellnessเอาไหม?

4.Bioslife  ***only here***-เป็นนวตกรรม-Cholesterol
●HDLไขมันดี → เพิ่มโดยการออกกำลังกาย,ฟิตเนส,อุปกรณ์กีฬามูลค่าของธุรกิจนี้มหาศาลหลายหมื่นล้านบาท.เราจะมีMarketshareจากธุรกิจนี้้เท่าไร?ถ้าBioslifeทำให้ HDLเพิ่ม 29 %
●LDLไขมันเลว → ลดโดยการใช้ยาสแตติน(statins)ไทยนำเข้ายาสแตตินมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่ side effects คือตับวาย,ไตพัง คนที่เสียชีวิตจากไตวาย   เมื่อสืบประวัติไปเป็นเบาหวานและใช้ยาสแตตินเป็นระยะเวลานานคำถามเดิมเราจะมี Marketshare จากธุรกิจนี้้เท่าไร?  ถ้าBioslifeทำให้ LDL ลด 31 %

5. 4 Partner  ***only here***
-Unicity ฝั่งactiveเราต้องทำเองหมดทำให้เราเหมือนมีศักยภาพฝั่งpassiveเราไม่ต้องลดศักยภาพตัวเอง  แต่unicityมาช่วยเราทำเรื่องยุ่งยาก
-Unipower คือระบบ →people&process ค่อยช่วยเราไม่ต้องคิดเองทำเอง
-Team → knowledge&experience
-You

6.Happy life project/hlp ***only here***
เงิน เวลา สุขภาพ 100   %
ถ้านักธุรกิจต้องการรายได้เพิ่มจะต้องเพิ่มลูกค้าและลูกจ้าง  คำถาม...ใครเป็นพนง.หรือลูกจ้างบ้าง ถ้านายจ้างไม่อยู่เราจะทำงานแบบไหน...ลัลล้า,ไลน์,เฟสบุค...นั้นแหละเรากำลังเพิ่มคนแบบนี้...ปวดหัวมั้ยคำถาม...ลูกค้าเป็นยังไง→ลูกค้าคือพระเจ้า วัน,เหวี่ยงยังไงเราก็ทนใช่ป่ะ
ธุรกิจUnicityเป็นการเพิ่มผู้ประกอบการที่มีคุณลักษณะ
1.รู้ว่าธุรกิจโตยังไง2.แก้ไขปัญหาได้3.เป็นของเค้าเอง

PS.โอ๊ค "ผมเป็นนักธุรกิจที่ทำมาหลายอย่าง ซึ่งเมื่อก่อนคิดว่าเงินคือความสุข...จนวันหนึ่งคุณแม่เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง...คุณพ่อเดินมาบอกว่า...การทำงานหนักเพื่อหาเงินอย่างเดียว...มันไม่ใช่แล้วหละ""ถ้าคุณgetธุรกิจนี้แบบผม...มันไม่เกี่ยวว่าต้องลงทุนเท่าไรเพราะเต้นท์รถของผมลงทุนเป็น10ล้าน...แต่ถ้าคุณgetธุรกิจนี้แบบผม...คุณจะร่ำรวยและเป็นมรดกได้ชั่วลูกชั่วหลาน...ต้องนั่งสมาธิหรือทำบุญมาดีๆเพื่อจะเกิดมาเป็นลูกของหลานคุณ...

ที่มา
Vision Revolution.   By PS.โอ๊ค อิทธิพล ครุฑระเบียบ รัชดา 30 พ.ย.56

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สิ่งเล็กๆ ที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกันทุกวัน

ปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้คนหนึ่งคนประสบความสำเร็จในชีวิต การศึกษา คอนเนคชั่น คนสนับสนุน หรือโชคชะตา โอเค ปัจจัยเหล่านี้ก็มีส่วนที่ทำให้คนหนึ่งคนประสบความสำเร็จได้ แต่มันมีเพียงเท่านี้จริงหรือ
คนประสบความสำเร็จระดับโลก หรือ CEO ชั้นแนวหน้าต่างก็มีวิธีการจัดการตัวเองเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายต่างๆ ในชีวิต ซึ่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำในชีวิตประจำวันนี้แหละส่งผลอย่างมากที่จะทำให้เขาไปถึงจุดสูงสุด เชื่อเถอะว่าสิ่งเหล่านี้คุณก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน

ตื่นแต่เช้า
Sergio Marchionne CEO แห่ง Fiat and Chrysler ตื่นนอนเวลา 3.30 am เพื่อดีลกับ European Market ส่วน Tim Cook CEO จาก Apple ตื่นนอนตั้งแต่ 4.30 am เพื่อส่งอีเมลล์ และผู้บริหารอีกหลายต่อหลายคนก็ต่างตื่นแต่เช้าเพื่อมาออกกำลังกาย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมแม่ถึงจ้ำจี้จ้ำไชให้เราตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เพราะคนที่ตื่นเช้าย่อมได้เริ่มต้นอะไรที่เร็วกว่าคนอื่น ได้ทำมากกว่าคนอื่นนั่นเอง

โฟกัสกับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา 
เชื่อหรือไม่ว่าการที่คุณรู้สึกยุ่งตลอดเวลาในการทำงานแต่ละวันนั้น บางทีแทบจะไม่ได้งานที่มีคุณภาพเลยด้วยซ้ำ เพราะในบางครั้งคุณอาจนึกถึงปริมาณของมันมากเกินไปทำเป็นจำนวนที่เยอะแต่ขาดประสิทธิภาพ อย่าลืมนะคะว่าคนประสบความสำเร็จที่โด่งดังหลายๆ คน เขาประสบความสำเร็จได้จากการทำสิ่งที่แตกต่าง และมีประสิทธิภาพกว่าคนอื่น เรากลับมาดูตัวเองว่าทุกวันนี้เรานึกถึงปริมาณมากกว่าคุณภาพของมันหรือเปล่า

ดูแลสุขภาพของตัวเองเสมอ
ทำงานเยอะ คิดงานก็มาก อย่าลืมเด็ดขาดที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง อย่างประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า จะวิ่งเป็นระยะทาง 3 ไมล์ หรือไม่ก็ออกกำลัง 45 นาที 6 วัน/สัปดาห์ การดูแลตัวเองสำคัญนะคะ อย่างน้อยก็ทำให้คุณมีเรี่ยวแรงและสมองที่แจ่มใสไปเผชิญกับเรื่องยากๆ ในแต่ละวัน และแน่นอนว่ามันทำให้คุณสุขภาพแข็งแรง หรือคุณอยากจะหาเงินไว้เยอะๆ แล้วไม่ได้ใช้กันล่ะ

ใช้ชีวิตให้บาลานซ์ Work Hard,Play Hard 
กลับมามองซ้ายมองขวาส่องกระจกแล้วเช็คตัวเองสักหน่อยว่า คุณกำลังบ้างานมากเกินไปหรือเปล่า มีเวลาให้ครอบครัวไหม มีเวลาไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์กับเขาหรือเปล่า หรือมีเวลาในการลองหากิจกรรมใหม่ๆ ทำไหม เราเคยเจอคนที่บ้างานมากๆ จนลืมดูแลตัวเองเป็นสารพัดโรค ลืมดูแลคนรัก แล้วก็ลืมดูว่าโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ลองจัดสรรเวลาตัวเองใหม่ค่ะ หาเวลาให้ตัวเองและคนรักอย่างน้อยสัปดาห์ละวันก็ดี ทำงานหนัก หาเวลาปาร์ตี้ แล้วก็พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ

มีการเขียนแผนงานต่างๆ อย่างละเอียด
ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่ในตำแหน่งไหน จะเป็นลูกน้องหรือเป็นระดับ CEO คุณก็สามารถเขียนแผนงานหรือ To do list ในแต่ละวันได้เช่นกัน วันนี้มีเข้าประชุมคุณก็ลองจดแผนงานหรือไอเดียที่อยากจะนำเสมอ แล้วอย่าลืมเขียนรายละเอียดต่างๆ ไว้เตือนตัวเองให้เข้าใจ หรือแม้แต่การเขียน to do list เพื่อให้คุณสามารถทำงานได้ตรงตามเป้าในแต่ละวัน ช่วยให้คุณสามารถจัดแจงงานที่ยุ่งสุมหัวได้จริงๆ

ไม่ลืมโฟกัสในสิ่งเล็กๆ และปรับปรุงมันเสมอ
สิ่งเล็กน้อยบางอย่างบางคนก็มองข้ามมัน แต่เชื่อไหมว่าระดับ CEO ชั้นนำของโลกเขาจะไม่มองข้ามสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเขาเชื่อว่าองค์กรที่ดีการดูแลสิ่งเล็กๆ หรือข้อด้อยบางข้อสามารถปรับระดับองค์กรเขาให้อยู่ในแถวหน้าได้ คุณสามารถนำมาปรับใช้ได้ง่ายๆ เช่น ถ้าคุณสะกดคำผิดในรายงาน หรืออีเมลล์ที่ส่งหาลูกค้า คุณไม่ควรมองข้ามมันเด็ดขาด คุณต้องจำให้ขึ้นใจว่าคำไหนที่คุณมักจะเขียนผิด เพราะเรื่องเล็กสำหรับคุณบางทีก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูกค้าและเจ้านายนะ

จัดตารางงานในแต่ละวัน
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขี้ลืมหรือไม่ การมีสมุดจดตารางงานเป็นสิ่งสำคัญ อย่างน้อยคุณหยิบขึ้นมาดูเมื่อไรคุณก็รู้ได้ทันทีว่าเดือนนี้คุณมีนัดสำคัญอะไรบ้าง มีประชุมวันไหน ต้องเตรียมอย่างไร เพราะฉะนั้นรีบไปหาซื้อสมุดดีๆ สักเล่มเลยค่ะ

คิดในแง่บวก 
เหนือสิ่งอื่นใดคือการคิด เพราะสิ่งดีๆ เริ่มต้นได้ด้วยการคิดจริงไหมคะ หากคุณมองโลกในแง่ร้าย คิดกับคนอื่นในแง่ร้ายเสมอแบบนี้ก็มีแต่ตัวคุณเองนั่นแหละที่ทุกข์ มองชีวิตให้บวกเข้าไว้ ปรับมุมมองในจิตใจเสียใหม่ ผูกมิตรกับผู้อื่นด้วยความจริงใจ ไปไหนก็มีแต่คนเอ็นดูและอยากช่วยเหลือคุณแน่นอน สำคัญคือคุณจะทุกข์น้อยลงจริงๆ

และที่สำคัญ! พวกเขาจะไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
นี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ และแตกต่างจากคนอื่น คิดอะไรไว้ เมื่อคุณเห็นว่าดีแล้ว ไตร่ตรองแล้ว ขอให้คุณลงมือทำเลย ก่อนที่จะมีใครเริ่มต้นทำมันก่อนคุณ แล้วจะมาพูดทีหลังว่ารู้งี้รีบทำดีกว่าไม่ได้แล้วนะ

Ref : lifehack.org

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

5 สิ่งที่คุณต้องเปลี่ยน! ถ้าอยากก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิต

ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน ถ้าถามว่าความสำเร็จคืออะไร ความสำเร็จคือเงินทองมากมาย กลายเป็นเศรษฐีพันล้านอย่างเดียวเหรอ แน่นอนว่าความสำเร็จไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ว่าคุณจะต้องมีเงินทอง มีบ้าน มีรถ และมีครอบครัว เพราะความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะอยากมีอิสระทางการเงิน แล้วออกไปนอนเล่นใช้ชีวิตแบบ Slow Life หรือบางคนก็อยากไต่เต้าไปสู่จุดสูงสุดของการทำงาน
แล้วอะไรคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้คุณไปถึงจุดสูงสุดที่ใฝ่ฝันไว้บ้าง วันนี้ นำข้อคิดดีๆ มาฝากทุกคนค่ะ ลองนำไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตของคุณ ความสำเร็จก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม

1. ต้องมีความชัดเจน
ถามว่าความชัดเจนคืออะไร ความชัดเจนในที่นี้หมายถึง การที่คุณสามารถตอบคำถามตัวเองได้ว่า งานที่คุณทำอยู่นั้นให้อะไรกับคุณบ้าง เวลาเจ้านายถามถึงจุดบกพร่องในงานคุณสามารถให้คำตอบได้ แต่ถ้าคุณเป็นคนประเภทที่ใครถามอะไรก็บอกว่า เอ่อ..ไม่รู้สิครับ แล้วแต่เลย เชื่อไหมคะว่าสิ่งนี้แหละที่จะปิดกั้นคุณออกจากความสำเร็จ คนที่ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่ชัดเจนต่อความคิดของตน มันก็ค่อนข้างห่างไกลความสำเร็จเหมือนกันนะ คุณอาจจะต้องเป็นผู้ตามไปตลอด แบบนี้คงไม่ดีจริงไหม ซื่อสัตย์ต่อความคิด และอย่าไปกลัวที่จะแสดงความเห็นของคุณให้กับผู้อื่นค่ะ

2. อย่าลืมพัฒนาความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง
เคยได้ยินไหมคะว่า คอนเนคชั่นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของเส้นสายมากกว่าความสามารถของตนเอง แต่เชื่อไหมว่าเกินครึ่งของคนที่มีคอนเนคชั่นที่ดี ก็คือคนที่ใส่ใจคนรอบข้าง ให้ความสำคัญกับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตน ใครที่คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ได้ ความสามารถมี ไม่ต้องพึ่งพาใคร อาจต้องเปลี่ยนความมุมมองเสียใหม่ ความสามารถคุณมี แต่ถ้าไม่มีโอกาส มันอาจจะหมดความหมายไปเลย อย่าลืมใส่ใจคนรอบข้าง สร้างคอนเนคชั่นที่ดีให้ตัวเองไว้ให้มากๆ ค่ะ

3. ปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่
สิ่งต่างๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราใช้ สิ่งที่เรากิน หรือความคิดของเราที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นมาจาก Attitude (ทัศนคติ) ที่เรามีทั้งสิ้น ยกตัวอย่างคนบางคนมองว่าการใช้ข้าวของแบรนด์เนมเป็นสิ่งที่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเขา แต่กลับอีกคนมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือยและไร้สาระ สิ่งนี้เกิดมาจากทัศนคติที่ตรงข้ามกันสุดขั้ว ปัญหาของมันก็คือทำอย่างไรให้คนสองประเภทนี้มีการยอมรับความคิดของกันและกัน นี่แหละค่ะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทีเดียว ดังนั้นคนที่สามารถปรับทัศนคติของตนได้อย่างกลมกลืนในทุกสถานการณ์ คือคนที่อยู่รอด และสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย มองโลกเป็นสีดำมันก็จะดำ แต่ถ้ามองเป็นสีเทาๆ มันก็จะเป็นสีเทาๆ อย่างที่คุณมองนั่นแหละค่ะ

4. มีการจัดการอย่างเป็นระบบ
ใครที่รู้สึกชีวิตตัวเองยุ่งเหยิงยกมือขึ้น! งานนี้ก็เผาขน งานนั้นก็พอกกองไว้จนล้มลงมาทับตัวเอง คิดอะไรก็ไม่ออก พลาดการนัดครั้งสำคัญ เพราะหลงลืม สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากการละเลยการจดข้อความเตือนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น to do list หรือ การมีสมุดนัดที่ชัดเจน ก็จะช่วยให้การทำงานมันง่ายขึ้น CEO ชั้นนำเคยเผยเคล็ดลับไว้ว่า การทำตัวให้ดูยุ่งตลอดเวลา กับการทำงานด้วยความขยันขันแข็งเป็นคนละเรื่องกัน เพราะคนที่ทำงานด้วยความโปรดักทีฟก็อาจจะเป็นคนที่งานไม่ได้ยุ่งมากแต่เขาทำงานแต่ละงานด้วยความเต็มที่และเอาใจใส่ ส่วนคนที่ดูวุ่นวายและยุ่งตลอดเวลาจริงๆ แล้วงานอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่มันเกิดจากการเรียงลำดับที่ไม่ถูกต้อง และยังระบุไว้อีกด้วยว่า การเริ่มต้นวันด้วยงานที่ยากที่สุดไล่ไปถึงงานที่ง่ายที่สุด จะสามารถช่วยให้งานเกิดประสิทธิภาพขึ้น งานเสร็จทันเวลา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเราเองก็ลองนำมาปฏิบัติดูก็ได้ผลที่น่าพอใจทีเดียวค่ะ

5. ลงมือทำ อย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือการลงมือทำ มีโปรเจ็คยักษ์อยู่ในหัว มีคำพูดปั้นฝันไว้มากมาย แต่เหมือนเกรงกลัวอะไรบางอย่าง จนคนอื่นนำฝันของเราไปทำตัดหน้า สุดท้ายต้องมานั่งเศร้าโศกเสียใจอยู่เงียบๆ แบบนี้ก็เกิดจากตัวเองทั้งสิ้น คิด คิดให้ละเอียดถี่ถ้วน หาทรัพยากรที่ดี แล้วลงมือทำ แค่นี้ความสำเร็จก็มากองรออยู่ตรงหน้าคุณแล้วค่ะ
จะประสบความสำเร็จได้นั้นอย่าลืมว่าเราต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นกิจวัตร อย่าเพิ่งย่อท้อต่อสิ่งเร้า หรือคนนินทาดูถูก ถ้าคุณมีความแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากแค่ไหน คุณก็ต้องคว้าความสำเร็จมานอนกอดได้อย่างแน่นอน  พร้อมเป็นกำลังใจให้ค่ะ

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

5 ขั้นตอน เปลี่ยน MINDSET ชีวิตเปลี่ยน

คุณรู้สึกติดขัดในการตัดสินใจทำอะไรอยู่หรือเปล่า  คุณคิดว่าอยากให้สิ่งนู้นเป็นอย่างนี้  สิ่งนี้เป็นอย่างโน้น  รู้สึกขัดอกขัดใจตัวเองหรือคนรอบข้างก็ทำอะไรก็ไม่ถูกใจหรือเปล่า  คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแต่ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนหรือเปล่า
ก่อนสิ่งอื่นใด  ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไร  ให้นึกว่าว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น  เรารู้ว่าคุณคงมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจเกิด  แล้วจะทำอย่างไรหล่ะ จะเปลี่ยนแปลงอะไร อย่างไรดี
ก่อนอื่นเลย คุณต้องมีการปรับเปลี่ยน mindset เสียก่อน  รับรองว่าความสำเร็จรอคุณอยู่ไม่ไกล และความหงุดหงิดใจต้องเบาบางลง
Mindset คืออะไรรู้ไหมค่ะ
มันคือ กระบวนการทางความคิด การปรับทัศนคติ มองโลกในแง่มุมที่ควรจะเป็น การปรับความชอบหรือนิสัย หรือการจัดลำดับความคิดของเราด้วยตัวของเราเอง
แล้วเราจะเริ่มปรับ mindset ของเราอย่างไรให้เกิดความสำเร็จ  เรามาลองค่อยๆทำตามที่ละข้อนะคะ
1. หยุดเปรียบเที่ยบ 
บางครั้งคุณมักจะคอยเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลาว่า คุณนู้นดีอย่างโน้น คนนี้ดีกว่าคุณตรงนี้ คนนั้นรวยดีมีมาก คนนั้นเขาโชคดีประสบความสำเร็จเร็วจัง
จนบางครั้ง คุณเองลืมหยุดมองข้อดีที่ตัวคุณเองที่มีอยู่หรือเปล่า อย่าลืมว่าแต่ละคนมีจุดดีจุดเด่นไม่เหมือนกัน  หากคุณเริ่มจากการหาจุดแข็งของตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่คุณมี มุ่งเน้นถึงความสำเร็จ และมีความสุขกับความสำเร็จของตนเอง ไม่อิจฉา หรือคอยเปรียบเที่ยบกับใคร ชีวิตก็มีความสุขดี
อีกอย่าง คุณรู้ไหมว่าในระหว่างที่คุณอิจฉาเพื่อนบ้านที่มีรถหรู Porche จอดเต็มหน้าบ้าน แต่เจาะลึกลงไป ความจริงในบ้านเขาอาจมีหนี้สินมากมายที่คุณอาจไม่เคยรู้ หรือผู้หญิงที่ชอบบ่นเหงาว่าแฟนไม่มีเวลาให้ ในขณะที่แฟนตนเองทำงานตลอดทั้งวัน เพื่อให้ได้มีเงินพาเธอไปเที่ยว  ลองหยุดน้อยเนื้อต่ำใจ และหยุดเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา แล้วหันมามองข้อดีของคุณบ้าง

2. ทุกอย่างไม่จำเป็นต้อง PERFECT
“PERFECTIONISM เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เป็นตัวกีดกันความสำเร็จ”
เมื่อเรายึดติดว่าความสำเร็จต้องบรรลุ 100% ทำให้บางครั้งเราอาจต้องเหนื่อยใจ และ ปล่อยละเลยการทำสิ่งนั้น เมื่อเราคิดว่ามันคงไม่มีทางทำให้มัน perfect ได้
ลองเปลี่ยนความคิดเป็น เราจะทำให้ดีที่สุด ทุกอย่างอาจไม่สามารถดีเยี่ยมได้ 100% เพียงแต่เราได้พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ก็พยายามที่จะหาทางแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้แต่ละจุด  เมื่อคุณคิดได้แบบนี้  คุณจะสนุกกับการเผชิญหน้าต่ออุปสรรคและมีความสุขในความสำเร็จของคุณในแต่ละก้าว
จำไว้…. Everybody is not Perfect but we can do the best to success.

3. หาหลักฐานเสริมความคิด
เมือใดก็ตามที่คุณคิดว่า คุณทำไม่ได้หรอก คุณไม่มีศักยภาพพอที่จะทำมันสำเร็จหรอก  หยุด!! ความคิดนี้  คุณต้องหาหลักฐานมายืนยันความคิดด้านลบของคุณให้ได้ ว่าคุณทำมันไม่ได้จริงหรอ และเพราะอะไร
บางครั้งคุณมักคิดว่าคุณทำมันไม่ได้หรือทำมันไม่ดี  เช่น  เวลาคุณพรีเซนต์งานไป  คุณเห็นเพื่อนร่วมงานคุณเงียบระหว่างที่คุณพรีเซนต์  คุณเลยคิดเองว่า เพื่อนร่วมงานคุณไม่ชอบงานคุณ ไม่ชอบสิ่งที่คุณพรีเซนต์ แต่ความจริงแล้ว เขาอาจไมไ่ด้ใส่ใจ หรืออาจไม่มีใครคอมเม้นส์ในสิ่งที่คุณทำเลย เพียงเพราะ “คุณคิดไปเอง”  หรือ “คุณใส่ใจคนอื่นเกินเหตุ”

4. ให้คำจำกัดความใหม่ของคำว่า “ผิดพลาด”
การกลัวความผิดพลาด  ทำให้เราหลายๆคนไม่กล้าออกจาก comfort zones  ไม่กล้าที่จะเสียง หรือ ลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะกลัวว่าทำไปแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือ ไม่แน่ใจว่าทำแล้วจะดีหรือเปล่า
หากคุณให้คำจำกัดความของความผิดพลาดเป็น “บทเรียน” คุณจะสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมในแต่ละก้าวของชีวิต เมื่อความผิดกลายเป็นครูสอนคุณให้เรียนรู้และเติบโตอย่างมั่นคงขึ้น

5. หยุดสนใจความคิดของคนอื่นมากเกินไป
Who’s CARE??  ถ้าเรามัวแต่คอยสนใจคนอื่น คำพูด ความรู้สึกของทุกคนรอบตัวคุณมากเกินไปอาจทำให้คุณไม่เหลือความเป็นตัวเองเลย  เราไม่ได้บอกให้คุณไม่สนใจโลกภายนอก  เพียงแต่  คุณควรสนใจในสิ่งที่คุณควรสนใจ  และเลิกสนใจในสิ่งที่ไม่ควรสนใจ
ในโลกเราปัจจุบัน มีทั้งคนที่หวังดี และไม่หวังดีกับเรา  ถ้าเรามัวแต่สนใจทุกคน โดยเฉพาะใส่ใจคำพูดของคนที่ไม่หวังดีกับเรา อาจทำให้เราติดขัดในการตัดสินใจและความก้าวหน้าได้   เพราะฉะนั้น  อย่าให้ใครมามีอำนาจการตัดสินใจเหนือคุณ และจำไว้ว่าสิ่งที่คุณตัดสินใจต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเช่นกัน
นี่เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นที่อยากให้คุณเริ่มเปลี่ยนความคิดทีละนิด ทีละหน่อย  แล้วคุณจะรู้สึกได้ว่าการเริ่มเปลี่ยนความคิดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  แค่คุณเริ่มเปลี่ยนความคิด  คุณก็จะมีความสุขในการดำเนินชีวิตมากขึ้น  ลองดูนะคะ
“วันนี้ฉันมีความสุขจังเลย ที่ได้ชวนคุณมาเปลี่ยนความคิด และฉันเชื่อว่าเราจะมีความสุขขึ้นแน่นอน!!!”



วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

10 ลักษณะของคนที่มีภาวะการเป็นผู้นำ มาเช็คดูว่าคุณมีทั้งหมดกี่ข้อ ?

ไม่ว่าใครก็อยากเป็นใหญ่เป็นโต ตาสีตาสาก็อยากมีอำนาจอยู่ในมือ ทว่าอำนาจและความเป็นใหญ่นั้นไม่ได้ได้มาจากการถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง หรือมาจากการจับฉลากรางวัลประจำปี แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากความตั้งใจ การแสดงศักยภาพของตัวคุณเอง และการปรับเปลี่ยนระบบความคิด หรือ mindset ของตัวเรา แค่ปรับเพียงเล็กน้อยโอกาสที่ยิ่งใหญ่อาจจะกองรออยู่ตรงหน้า
แล้วจะทำอย่างไรถึงจะก้าวเข้าไปเป็นผู้นำที่ดีได้ วันนี้  นำลักษณะของคนที่มีภาวะการเป็นผู้นำมาฝากอ่านแล้วลองกลับมามองตัวเองว่าคุณมีสักกี่ข้อที่เข้าข่ายคนที่จะก้าวเข้าไปสู่การเป็นผู้นำแถวหน้าได้บ้าง หรือถ้าหากไม่มี คุณจะได้เตรียมตัว และปรับเปลี่ยนความคิดบางอย่างเพื่อผลดีต่อตัวคุณเองค่ะ

 
1. คุณจะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ หรือผู้ตาม หากคุณปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ใครจะอยากร่วมงานกับคุณจริงไหมคะ ต่อให้คุณเป็นแม่ค้า เป็นลูกจ้าง การก้าวหน้าในอาชีพของตน ล้วนต้องอาศัย logic ที่พึงมีทั้งสิ้น คุณจำเป็นต้องมีหลักการ มีเหตุผล เพื่อนำมาลบล้างกับความรู้สึกโกรธ หรืออารมณ์เหวี่ยงที่ตนมี แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มาจากประสบการณ์และการหาความรู้เพิ่มเติมค่ะ ถ้าคุณสามารถนำเหตุผลมาอยู่เหนืออารมณ์ได้แล้ว ไม่ว่าจะทำงานในสายอาชีพอะไร ก็สามารถก้าวหน้าได้ไม่ยาก

2. คุณมักเริ่มต้นจากคำว่า “ทำไม”
ทำไมนกถึงโบยบินบนท้องฟ้าได้ แล้วมนุษย์สามารถขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าได้หรือเปล่า ทำไมถึงมีแต่โลกเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ดาวดวงอื่นๆ เราสามารถไปอยู่อาศัยได้หรือเปล่า คำถามเหล่านี้ ล้วนตั้งขึ้นเพื่อหาคำตอบทั้งสิ้นค่ะ การเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ ด้วยคำว่าทำไม และสิ่งต่างๆ ที่ถูกตั้งคำถามเหล่านี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอ ไซม่อน ซิกเนก นักเขียน Best Seller จากหนังสือ Start With Why ได้อธิบายไว้ว่า ผู้คนไม่ได้สนใจว่าคุณทำอะไร แต่พวกเขาสนใจว่าคุณทำทำไมมากกว่า ดังนั้นผู้นำที่ดีก็คือคนที่ตั้งคำถาม และอยากจะหาคำตอบให้กับตัวเอง สำคัญคือมันสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกสิ่งที่คุณเผชิญ อย่างทำไมเขาถึงไม่รักเรานะ อืม อาจเพราะเราดีไม่พอ ไม่ต้องไปถามเพื่อให้เขาตอบ แต่คุณควรถามเพื่อให้ตัวเองตอบคำถามนี้ให้ได้ แล้วคุณจะไม่กลายเป็นคนที่ฟุ้งซ่านแน่นอน

 
3. คิดนอกกรอบเสมอ
คำว่าคิดนอกกรอบ ไม่ได้แปลว่าคุณต้องฉีกกฎทุกอย่างทั้งที่ไม่รู้ว่ากรอบเหล่านั้นมีอะไรบ้าง บางคนมักจะนำคำนี้ไปใช้โดยที่ตัวเขายังไม่เข้าใจเลยว่า การอยู่ในกรอบนั้นเป็นอย่างไร แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เรายังอยู่ในกรอบแห่งนี้ เมื่อเข้าใจกรอบนี้ดีแล้ว คุณจะสามารถก้าวออกไปนอกกรอบได้อย่างสง่างาม และสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นได้ ก่อนจะออกนอกกรอบ ต้องเข้าใจกรอบนี้ให้ดีก่อนเป็นดี เพราะผู้นำระดับโลกหลายคน เขาก็เริ่มต้นจากการอยู่ในกรอบ แล้วค่อยก้าวออกไปจากกรอบนี้นั่นเองค่ะ

4. คุณเป็นผู้ตามที่ดีเยี่ยม
อ่านถึงข้อนี้อาจจะงงๆ ว่า ภาวะการเป็นผู้นำสูง เกี่ยวข้องอะไรกับการเป็นผู้ตาม โรเบิร์ต เคลลี่ ผู้เขียน The Power of Followership  ได้บอกไว้ว่า ผู้ตามที่ดีจะมีความคิดที่ตรงข้ามกับเรา เพราะผู้ตามที่ดีเขาไม่ใช่คนที่จะ Say “Yes” ให้กับทุกอย่าง แต่จะเป็นคนที่กระฉับกระเฉง และมีไอเดียใหม่ๆ ให้กับผู้นำเสมอ และผู้ตามที่ดีจะสามารถพรีเซ้นต์ทุกอย่างได้แม้ขาดผู้นำไป ลองเริ่มต้นเป็นผู้ตามที่ดีก่อนค่ะ อย่าคิดว่าต้องทำงานไปวันๆ รอรับเงินเดือน แต่ให้ทำอย่างเต็มที่ แสดงศักยภาพที่คุณมีออกมาค่ะ เอ้า! ลุยดิ


5. ฟังมากกว่าพูด
คนที่รู้มาก ก็เกิดจากการฟังที่มากกว่าคนอื่น ผู้นำในโลกธุรกิจส่วนใหญ่ต่างมีลักษณะพื้นฐานคือการเป็นผู้ฟังที่ดีทั้งสิ้น การฟังเป็นการเก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆ มาสั่งสมพอกพูน และใช้ logic ของตนในการตัดสินวิเคราะห์ให้กลายเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ที่ตนมี หากคุณฟังคู่แข่งมาก คุณก็จะรู้ได้ไม่ยากเลย ว่าเขามีจุดด้อย จุดเด่นอะไรบ้าง และนี่คือสิ่งสำคัญที่คุณจะนำมาปรับปรุงผลงานของตนให้ก้าวหน้าค่ะ

6. คุณสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยุคนี้ใครๆ ก็เล่น Social Media จริงไหม ไม่ว่าจะเป็น facebook twitter หรือ instagram เราต่างเห็นจุดบอดของมันคือ การที่ผู้รับสารตีความผิดพลาด และสาเหตุหลักๆ ก็คือการส่งสารที่ผิดพลาดของผู้เขียนเอง คนที่จะเป็นผู้นำได้ดี คือคนที่สามารถอุดจุดบอดนี้ได้ เพราะผู้นำจำเป็นจะต้องสื่อสารกับคนหมู่มาก ถ้าการสื่อสารของคุณผิดพลาด คนที่รับคำสั่งจากคุณไป ก็คงไม่สามารถทำงานตอบโจทย์คุณได้ ปีเตอร์ อีโคโนมี่ ผู้เขียน Managing for Dummies ได้พูดถึงหลักการหนึ่งของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพไว้ว่าให้คำนึงถึง 7 C  ได้แก่ Clear (ชัดเจน), Consistent(สอดคล้อง), Credible (น่าเชื่อถือ) , Confident (มั่นใจ) , Civil (สุภาพ) , Concise (กระชับ) และ Compassionate (มีความเห็นอกเห็นใจ) ถ้าคุณสามารถพูด สื่อสาร ด้วยการคำนึงถึง 7C นี้ได้ การก้าวขึ้นเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพ และมีคนนับหน้าถือตาย่อมเป็นเรื่องง่ายค่ะ


7. คุณไม่เคยลืมที่จะพัฒนาคนที่อยู่ข้างหลัง 
เคยสังเกตไหมว่าเจ้าพ่อในหนังมาเฟีย เขาสามารถคุมลูกน้องให้อยู่ในกำมือได้อย่างไร เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะเขาไม่ลืมที่จะพาลูกน้องก้าวขึ้นไปสู่ระดับแถวหน้าพร้อมๆ กัน การที่คุณทำงานและคำนึงที่ทุกคนที่อยู่ในทีม นอกจากผลงานจะก้าวหน้าแล้ว ทุกคนยังเติบโต และสามารถพัฒนาธุรกิจและองค์กรให้ก้าวไปได้ ผู้นำที่ดี จะไม่ทิ้งคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะต่อให้คุณมีอำนาจ มีเงินทอง และมีความสามารถ คุณก็ต้องอาศัยศักยภาพ และบริหารคนให้เป็นอยู่ดีค่ะ
8. คุณชอบที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะไหนในองค์กร การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ ใครสอนอะไรพร้อมที่จะเปิดใจรับ และเรียนรู้มันเสมอ การอ่านหนังสือก็เป็นสิ่งจำเป็น เราสามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาด และความสำเร็จของคนอื่นได้จากการอ่าน และการฟังประสบการณ์ที่เขาเหล่านั้นนำมาแบ่งปันค่ะ เห็นไหมคะว่าแต่ละข้อจะเชื่อมโยงกันไปมา


9. โฟกัสไปที่การแก้ปัญหา มากกว่าการจมอยู่กับปัญหา
การจะก้าวข้ามผ่านไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น ไม่ใช่การนอนจมกับกองของปัญหาต่างๆ แต่คือการลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับปัญหา และแก้ไขมันให้ถึงที่สุด ปลดล็อคปัญหาไปทีละข้อ ไม่ยอมแพ้ และโยนทิ้งมันกลางทาง วันนี้คุณยอมแพ้ ครั้งหน้าคุณก็จะติดนิสัยยอมแพ้มันเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่เราจะชนะล่ะคะ จริงไหม
10. คุณไม่กลัวที่จะทำการใหญ่ และไม่กลัวที่จะเป็นฝ่ายตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ 
สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจ ผู้นำคือคนที่ต้องทำการใหญ่ มองขาด และตัดสินได้ว่า สิ่งเหล่านั้นควรเป็นไปในทิศทางไหน รวมถึงเป็นคนที่จะรับผิดชอบในการตัดสินใจของตน คุณต้องขจัดความกลัวที่คุณมีให้สิ้น ถ้าคุณอยากก้าวหน้า และเป็นผู้นำได้ ข้อนี้รวมไปถึงเด็กรุ่นใหม่ที่อยากเป็นนายตัวเอง หรืออยากมีกิจการด้วยนะคะ จำเป็นต้องอาศัยภาวะการเป็นผู้นำทั้งสิ้น
เป็นอย่างไรบ้าง พอจะมีสักข้อไหมคะที่ตรงกับคุณ อาจจะมีสักข้อ หรือสองข้อ แต่นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีค่ะ หนึ่งข้อก็สามารถนำมาซึ่งสองข้อได้ไม่ยาก แค่ปรับระบบความคิดบางอย่าง เปิดใจ และกล้าที่จะเปลี่ยนจากสิ่งที่ตนเป็น ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า การพัฒนาศักยภาพของตัวเองไม่มีวันหมด แต่ไฟที่คุณมีอาจจะหมดได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองซะตั้งแต่วันนี้ดีไหมคะ

ภาพ cover : หนังเรื่อง Nameless Gangster: Rules of the Time