เป็น 2 ส่วน คือ
1. โรคที่เกิดจากเชื้อโรค
2. โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค
ในปัจจุบันจะพบคนเราเสียชีวิตมากที่สุดจากโรค
ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดัน โคเรสเตอรอลสูง มะเร็งเต้านม หรือ โรคหัวใจ
ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดัน โคเรสเตอรอลสูง มะเร็งเต้านม หรือ โรคหัวใจ
และสาเหตุหลักล้วนเกิดจากการรับประทานอาหาร
ไม่ถูกหลักโภชนาการ และไม่คอยระวังตรวจสอบ
ความผิดปกติของร่างกาย
จากงานวิจัยพบว่า โรคต่างๆ กว่า 80% เกิดขึ้นจากการที่เราได้รับสารพิษสะสมในร่างกาย เช่น จากยาปราบศัตรูพืช ควันรถ อาหารแปรรูป สุรา อาหารทอด ยาปฏิชีวนะต่างๆ สารพิษเหล่าจะติดค้างในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ในลำไส้ ในตับ ไต หรือเส้นเลือด ซึ่งยากต่อการขจัดออก ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย และเป็นโรคต่างๆ และสุดท้ายถึงขั้นเสียชีวิต
บรรณาธิการวารสารการแพทย์ THE LENCET (2533) บอกไว้ว่า
โรคหลายโรค หลายอาการจะดีขึ้นมากเมื่อขับถ่าย
เป็นเวลา และลดระยะเวลาการเดินทางจากกระเพาะ
ไปสู่ลำไส้ลง
โรคหลายโรค หลายอาการจะดีขึ้นมากเมื่อขับถ่าย
เป็นเวลา และลดระยะเวลาการเดินทางจากกระเพาะ
ไปสู่ลำไส้ลง
วันนี้คุณคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องล้างสารพิษออกจากร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง?
DETOX คืออะไร?
กระแสการบำบัดรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ดูเหมือนกำลังได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวารีบำบัด อโรมาเธอราปี กายภาพบำบัด โภชนบำบัด สมาธิบำบัด ดนตรีบำบัด นาฏบำบัด และการบำบัดอันเนื่องมาจากวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งอาจมีวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย แต่เน้นวิธีการรักษาแบบองค์รวม การบำบัดต่างๆ เหล่านี้เรารวมเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"
การทำ DETOX หรือการล้างพิษ ด้วยการสวนล้างลำไส้ ก็เป็นวิธีหนึ่งในธรรมชาติบำบัดที่มีมาแต่โบราณ และปัจจุบันยังเป็นที่นิยมทำกันมาก ในประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา ส่วนในบ้านเรานั้น อาจคุ้นๆ หูกันอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มได้ยินหนาหูและรู้จักกันมากขึ้น
และก็เป็นธรรมดาที่อะไรอยู่ในกระแสก็จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับเรื่องของ "DETOX-ล้างลำไส้" นั้น หลายคนก็สงสัยว่าคืออะไร ทำไมต้องทำ ใครที่ควรจะทำ จำเป็นแค่ไหน ขั้นตอนเป็นอย่างไร มีผลกระทบอย่างอื่นกับร่างกายมั้ย ฯลฯ ซึ่งข้อสงสัยทั้งหมดนี้หาคำตอบได้ นับจากบรรทัดถัดไป
ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลของการสวนล้างลำไส้ ก็ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร ที่เรารับประทานกันเสียก่อน
อาหารที่เรารับประทานนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีเส้นใยมาก ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโพด ฯลฯ และชนิดที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้งขัดขาว ฯลฯ
โดยอาหารชนิดแรกนั้นเมื่อผ่านการย่อยแล้ว จะขับถ่ายออกจากร่างกายโดยง่าย ในขณะที่ชนิดหลังนี้เมื่อย่อยแล้วจะจับตัวกันจนเหนียวทำให้เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ด้วยความลำบากและมักเกาะติดอยู่กับผนังลำไส้ ไม่ยอมเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบการขับถ่ายแบบปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รับประทานอาหารในกลุ่มหลัง จึงมักมีอาการท้องผูก ถ่ายลำบาก แถมสิ่งที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้นี้ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ก่อให้เกิดการบูดเน่าหรือเกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องอืดท้องเฟ้อผายลมบ่อย อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ลำไส้ใหญ่อักเสบ มีกลิ่นปาก แผลเปื่อยในปาก หรือโรคที่เกี่ยวกับภูมิต้าน เช่น ภูมิแพ้ ลมพิษ ผื่นแพ้ หอบหืด รูมาตอยด์ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้การสวนล้างลำไส้จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกนำมาใช้ในการล้างพิษออกจากร่างกายนั่นเอง
การทำ DETOX-ล้างลำไส้ มี 2 วิธี วิธีแรกคือ ดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ระดับล่าง เป็นการสวนล้างลำไส้ในช่วงระยะ 30 เซนติเมตร สุดท้ายของลำไส้ ด้วยกาแฟหรือน้ำสมุนไพร ใช้น้ำประมาณ 5 ลิตร และวิธีที่ 2 คือ ดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ส่วนบน ด้วยน้ำเกลือแร่หรือสมุนไพร ใช้น้ำประมาณ 2 ลิตร
การทำดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ส่วนบนนั้นจะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพที่เรียกว่า เครื่องล้างลำไส้ (COLONIC) ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิแรงดันและปริมาณต่างๆ ของน้ำได้
ขั้นตอนของการสวนล้างนั้นจะใช้น้ำอุ่นประมาณ 25 ลิตร ใช้เวลาในการสวนประมาณ 40-60 นาที วิธีการก็คือ แพทย์จะสอดหลอดสวนเข้าทางทวารหนัก เพียง 2 นิ้ว เปิดให้น้ำอุ่นเข้าลำไส้อย่างช้าๆ ระหว่างนั้นจะทำการนวดหน้าท้องไปด้วยเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ทำให้ตะกรันที่จับคราบตามผนังลำไส้หลุดออกมา การทำในระยะแรกๆ อาจรู้สึกอยากถ่าย ให้ถ่ายได้เลยโดยไม่ต้องกลั้น น้ำและของเสียจะไหลออกทางทวารผ่านหลอดสวน โดยไม่ต้องถอดหลอดสวนออก จากนั้นก็จะปล่อยให้น้ำเข้าไปอีกทำเช่นนี้ซ้ำอีกจนน้ำในเครื่องหมด 25 ลิตร เมื่อน้ำหมดถังแล้วแพทย์จะทำการถอดสายสวนออก จากนั้นก็ให้ถ่ายจนเกลี้ยงก่อนทำความสะอาดร่างกาย เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการล่างลำไส้ส่วนบน
หลังการทำดีทอกซ์ล้างลำไส้ ร่างกายก็จะสบายขึ้น ไม่มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรืออ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ แม้ว่าจะถ่ายจนหมดพุง ทั้งนี้เพราะแพทย์จะผสมน้ำเกลือลงไปในน้ำ ที่ใช้ทำคตั้งแต่แรกแล้ว แต่หลังจากเสร็จสิ้นการล้างลำไส้ คนไข้จะได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย ส่วนอาหารการกินอื่นๆ สามารถรับประทานได้อย่างปกติ
การสวนล้างลำไส้นั้น นอกจากจะให้ผลดีในการกำจัดพิษออกจากร่างกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แล้วยังเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาโรคท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระอุดตันฉับพลัน หรือช่วยรักษาการทำงานาที่บกพร่องของลำไส้ รวมทั้งยังใช้เป็นหนึ่งในขั้นตอนเตรียมการตรวจรักษาก่อนการคลอดบุตร เอกซเรย์ตรวจเช็คลำไส้ด้วยการสวนแป้ง (Barium) หรือส่องกล้องทำการตรวจรักษาผ่านช่องท้องหรือลำไส้ใหญ่อีกด้วย
สำหรับผู้ที่จะทำดีทอกซ์นั้น ควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ถ้าสุขภาพปกติดี ก็สามารถสวนล้างปีละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้ามีปัญหาสุขภาพอาจต้องทำมากกว่านี้ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายๆ ไป และก่อนที่จะทำการสวนล้างลำไส้ แพทย์จะต้องซักประวัติสุขภาพของคนไข้เสียก่อนว่า สามารถทำการสวนล้างลำไส้ได้หรือไม่ เนื่องจากมีโรคบางโรคที่เป็นข้อห้ามในการสวนล้างลำไส้ เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือความดันโลหิตต่ำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น