วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมต้องล้างสารพิษออกจากร่างกาย? (DETOX)

โรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราแบ่งออกได้



เป็น 2 ส่วน คือ

1. โรคที่เกิดจากเชื้อโรค
2. โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค
ในปัจจุบันจะพบคนเราเสียชีวิตมากที่สุดจากโรค
ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดัน โคเรสเตอรอลสูง มะเร็งเต้านม หรือ โรคหัวใจ

และสาเหตุหลักล้วนเกิดจากการรับประทานอาหาร
ไม่ถูกหลักโภชนาการ และไม่คอยระวังตรวจสอบ
ความผิดปกติของร่างกาย
จากงานวิจัยพบว่า โรคต่างๆ กว่า 80% เกิดขึ้นจากการที่เราได้รับสารพิษสะสมในร่างกาย เช่น จากยาปราบศัตรูพืช ควันรถ อาหารแปรรูป สุรา อาหารทอด ยาปฏิชีวนะต่างๆ สารพิษเหล่าจะติดค้างในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ในลำไส้ ในตับ ไต หรือเส้นเลือด ซึ่งยากต่อการขจัดออก ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย และเป็นโรคต่างๆ และสุดท้ายถึงขั้นเสียชีวิต
บรรณาธิการวารสารการแพทย์ THE LENCET (2533) บอกไว้ว่า
โรคหลายโรค หลายอาการจะดีขึ้นมากเมื่อขับถ่าย
เป็นเวลา และลดระยะเวลาการเดินทางจากกระเพาะ
ไปสู่ลำไส้ลง
วันนี้คุณคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องล้างสารพิษออกจากร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง?
DETOX คืออะไร?
กระแสการบำบัดรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ดูเหมือนกำลังได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวารีบำบัด อโรมาเธอราปี กายภาพบำบัด โภชนบำบัด สมาธิบำบัด ดนตรีบำบัด นาฏบำบัด และการบำบัดอันเนื่องมาจากวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งอาจมีวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย แต่เน้นวิธีการรักษาแบบองค์รวม การบำบัดต่างๆ เหล่านี้เรารวมเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"
การทำ DETOX หรือการล้างพิษ ด้วยการสวนล้างลำไส้ ก็เป็นวิธีหนึ่งในธรรมชาติบำบัดที่มีมาแต่โบราณ และปัจจุบันยังเป็นที่นิยมทำกันมาก ในประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา ส่วนในบ้านเรานั้น อาจคุ้นๆ หูกันอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มได้ยินหนาหูและรู้จักกันมากขึ้น
และก็เป็นธรรมดาที่อะไรอยู่ในกระแสก็จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับเรื่องของ "DETOX-ล้างลำไส้" นั้น หลายคนก็สงสัยว่าคืออะไร ทำไมต้องทำ ใครที่ควรจะทำ จำเป็นแค่ไหน ขั้นตอนเป็นอย่างไร มีผลกระทบอย่างอื่นกับร่างกายมั้ย ฯลฯ ซึ่งข้อสงสัยทั้งหมดนี้หาคำตอบได้ นับจากบรรทัดถัดไป
ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลของการสวนล้างลำไส้ ก็ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร ที่เรารับประทานกันเสียก่อน
อาหารที่เรารับประทานนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีเส้นใยมาก ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโพด ฯลฯ และชนิดที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้งขัดขาว ฯลฯ
โดยอาหารชนิดแรกนั้นเมื่อผ่านการย่อยแล้ว จะขับถ่ายออกจากร่างกายโดยง่าย ในขณะที่ชนิดหลังนี้เมื่อย่อยแล้วจะจับตัวกันจนเหนียวทำให้เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ด้วยความลำบากและมักเกาะติดอยู่กับผนังลำไส้ ไม่ยอมเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบการขับถ่ายแบบปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รับประทานอาหารในกลุ่มหลัง จึงมักมีอาการท้องผูก ถ่ายลำบาก แถมสิ่งที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้นี้ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ก่อให้เกิดการบูดเน่าหรือเกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องอืดท้องเฟ้อผายลมบ่อย อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ลำไส้ใหญ่อักเสบ มีกลิ่นปาก แผลเปื่อยในปาก หรือโรคที่เกี่ยวกับภูมิต้าน เช่น ภูมิแพ้ ลมพิษ ผื่นแพ้ หอบหืด รูมาตอยด์ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้การสวนล้างลำไส้จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกนำมาใช้ในการล้างพิษออกจากร่างกายนั่นเอง
การทำ DETOX-ล้างลำไส้ มี 2 วิธี วิธีแรกคือ ดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ระดับล่าง เป็นการสวนล้างลำไส้ในช่วงระยะ 30 เซนติเมตร สุดท้ายของลำไส้ ด้วยกาแฟหรือน้ำสมุนไพร ใช้น้ำประมาณ 5 ลิตร และวิธีที่ 2 คือ ดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ส่วนบน ด้วยน้ำเกลือแร่หรือสมุนไพร ใช้น้ำประมาณ 2 ลิตร
การทำดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ส่วนบนนั้นจะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพที่เรียกว่า เครื่องล้างลำไส้ (COLONIC) ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิแรงดันและปริมาณต่างๆ ของน้ำได้
ขั้นตอนของการสวนล้างนั้นจะใช้น้ำอุ่นประมาณ 25 ลิตร ใช้เวลาในการสวนประมาณ 40-60 นาที วิธีการก็คือ แพทย์จะสอดหลอดสวนเข้าทางทวารหนัก เพียง 2 นิ้ว เปิดให้น้ำอุ่นเข้าลำไส้อย่างช้าๆ ระหว่างนั้นจะทำการนวดหน้าท้องไปด้วยเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ทำให้ตะกรันที่จับคราบตามผนังลำไส้หลุดออกมา การทำในระยะแรกๆ อาจรู้สึกอยากถ่าย ให้ถ่ายได้เลยโดยไม่ต้องกลั้น น้ำและของเสียจะไหลออกทางทวารผ่านหลอดสวน โดยไม่ต้องถอดหลอดสวนออก จากนั้นก็จะปล่อยให้น้ำเข้าไปอีกทำเช่นนี้ซ้ำอีกจนน้ำในเครื่องหมด 25 ลิตร เมื่อน้ำหมดถังแล้วแพทย์จะทำการถอดสายสวนออก จากนั้นก็ให้ถ่ายจนเกลี้ยงก่อนทำความสะอาดร่างกาย เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการล่างลำไส้ส่วนบน
หลังการทำดีทอกซ์ล้างลำไส้ ร่างกายก็จะสบายขึ้น ไม่มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรืออ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ แม้ว่าจะถ่ายจนหมดพุง ทั้งนี้เพราะแพทย์จะผสมน้ำเกลือลงไปในน้ำ ที่ใช้ทำคตั้งแต่แรกแล้ว แต่หลังจากเสร็จสิ้นการล้างลำไส้ คนไข้จะได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย ส่วนอาหารการกินอื่นๆ สามารถรับประทานได้อย่างปกติ
การสวนล้างลำไส้นั้น นอกจากจะให้ผลดีในการกำจัดพิษออกจากร่างกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แล้วยังเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาโรคท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระอุดตันฉับพลัน หรือช่วยรักษาการทำงานาที่บกพร่องของลำไส้ รวมทั้งยังใช้เป็นหนึ่งในขั้นตอนเตรียมการตรวจรักษาก่อนการคลอดบุตร เอกซเรย์ตรวจเช็คลำไส้ด้วยการสวนแป้ง (Barium) หรือส่องกล้องทำการตรวจรักษาผ่านช่องท้องหรือลำไส้ใหญ่อีกด้วย

สำหรับผู้ที่จะทำดีทอกซ์นั้น ควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ถ้าสุขภาพปกติดี ก็สามารถสวนล้างปีละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้ามีปัญหาสุขภาพอาจต้องทำมากกว่านี้ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายๆ ไป และก่อนที่จะทำการสวนล้างลำไส้ แพทย์จะต้องซักประวัติสุขภาพของคนไข้เสียก่อนว่า สามารถทำการสวนล้างลำไส้ได้หรือไม่ เนื่องจากมีโรคบางโรคที่เป็นข้อห้ามในการสวนล้างลำไส้ เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือความดันโลหิตต่ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น