วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

Nutraceutical / โภชนเภสัช


Nutraceutical / โภชนเภสัช


นิวตราซูติคอล (Nutraceuticals)  เป็นคำที่เกิดจากการผสม ระหว่างคำว่า "nutrients"ซึ่งหมายถึง สารอาหาร และ "pharmaceutics" ซึ่งหมายถึง ยา 

คำนี้บัญญัติขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1979 โดย นายแพทย์ Stephen De Felice ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานของ Foundation for Innovation in Medicine (FIM, Cranford, NJ)

Nutraceutical หมายถึง อาหารหรือส่วนประกอบของอาหารที่มีสรรพคุณซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์ทางยา ป้องกันโรค รักษาโรค และชะลอความชรา

ปี พ.ศ. 2532 องค์การนวัตกรรมทางการแพทย์ (Foundation for Innovation in Medicine) ได้บัญญัติศัพท์เฉพาะทางวิชาการขึ้นคำหนึ่งคือ Nutraceutical เพื่อใช้เรียกสารสกัดจากอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งมีคุณสมบัติในการป้องกันรักษาโรค ที่มักผลิตขึ้นในรูปแบบคล้ายยา เช่น เป็นแคปซูล, เม็ด, สารละลาย, สารแขวนลอย, หรือเป็นผง 





 ผลิตภัณฑ์ Nutraceutical ที่กล่าวนี้ แพร่หลายสู่ท้องตลาดอย่างรวดเร็ว เพราะบริษัทผู้ผลิตมองเห็นผลประโยชน์มหาศาลรออยู่ และประชาชนทั่วโลก ก็หันมาสนใจแสวงหามาบริโภค เพราะตกอยู่ในกระแสของการรณรงค์ในเรื่องอาหารกับสุขภาพ  ตัวอย่างสารที่มีคุณสมบัติเป็น Nutraceutical ได้แก่  สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) จาก องุ่นแดง ซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant), สารซัลฟอราเฟน  (Sulforaphane) จากบรอคเคอรี่ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง, หรือสารไอโซฟลาโวนอยดส์ (Isoflavonoids) จากถั่วเหลืองที่มีคุณสมบัติช่วยให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจแข็งแรง เหล่านี้เป็นต้น  

ทั้งนี้การกล่าวอ้างคุณสมบัติต่างๆ เช่นที่กล่าวจำเป็นต้องมีหลักฐานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์รองรับอย่างชัดเจนพอ

ขอบเขตความหมายของ โภชนเภสัช และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า สารสกัดที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่เรียกว่า โภชนเภสัช ดังที่ได้ยกตัวอย่างไว้ข้างต้นนั้น ไม่ถือว่าเป็นยา ดังนั้นข้อบังคับในการผลิต การจำหน่ายและการติดฉลากจึงไม่เคร่งครัดเหมือนยา  ส่วนใหญ่แล้วผู้บริโภคสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์และไม่จำเป็นต้องจำหน่ายโดยเภสัชกร  

ผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชนี้ มีความหมายกี่ยวโยงกับ ผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาหาร (Dietary Supplement) อาหารเฉพาะพันธกิจ (Functional Food) และคำว่า ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ (Natural Health product) ดังจะได้อธิบายต่อไป

ผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาหาร (Dietary Supplement) 

คำนี้เป็นวลีบัญญัติ ของคำว่า Dietary Supplement  ซึ่งมักนิยมใช้กันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  หรือ อาหารเสริม ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเป็นที่ทราบกันแล้วว่า Diet ไม่ได้หมายถึง Food แต่หมายถึง สมดุลของสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารที่มนุษย์กินในชีวิตประจำวัน ตามที่ร่างกายมนุษย์แต่ละคนต้องการในแต่ละวัย แต่ละสภาพของร่างกาย และแต่ละลักษณะของกิจกรรมในชีวิต เพื่อให้ชีวิตเจริญเติบโต และดำรงอยู่อย่างแข็งแรง เป็นปกติสุขและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีคุณภาพ  

ผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาหาร ซึ่งหมายถึงสารจากธรรมชาติ เช่น วิตามิน เกลือแร่ กรดไขมัน หรือกรดอะมิโน ที่นำมาใช้เพิ่มเติมลงในอาหารจากธรรมชาติที่มีสารอาหารไม่พอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย 

ผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาหารนี้อาจถือเป็น ยา หรือ อาหาร แล้วแต่ชนิดของผลิตภัณฑ์ และกฎหมายของแต่ละประเทศ  ตัวอย่าง สารฮอร์โมนทั้งที่เป็นสารสเตียรอยด์ (steroid) เช่น DHEA และ pregnenolone และไม่ใช่ steroid เช่น melatonin นั้น องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจัดให้เป็น อาหาร ประเภทผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาหาร  สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป 

ส่วนในประเทศไทย และในสหภาพยุโรปหลายประเทศ ยังไม่อนุญาตให้จำหน่ายได้โดยเสรีเหมือนในสหรัฐอเมริกา  อย่างไรก็ตามในสหรัฐอเมริกานั้นได้มีการกำหนดคุณสมบัติไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นสารในกลุ่ม วิตามิน, เกลือแร่, สมุนไพร, กรดอะมิโน, สารสกัดเข้มข้น, หรือ เมตาบอไลท์, หรือสารช่วยเพิ่มปริมาณอาหารให้ผู้บริโภคได้รับในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน โดยอาหารเสริมเหล่านี้จะต้องอยู่ในรูปแบบที่เป็น เม็ด, แคปซูล, ผง, หรือเป็นของเหลว  และห้ามใช้บริโภคเป็นอาหารทั่วไป รวมทั้งต้องติดฉลากว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาหาร”  - “Dietary Supplement” ให้ชัดเจนด้วย


อาหารเฉพาะพันธกิจ (Functional Food) 

Functional Food หมายถึง สิ่งที่รับประทานเข้าไปแล้ว ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงในการส่งเสริมสุขภาพด้านต่างๆ เพิ่มเติมจากคุณประโยชน์ทางโภชนาการทั่วๆไป  โดยอาจมีคุณสมบัติช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น  ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ  หรือแม้กระทั่งช่วยรักษาโรคบางชนิด  

ปัจจุบันตลาดของอาหารเฉพาะพันธกิจนั้นมีมูลค่ามหาศาล เฉพาะใน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ รวมกัน ก็มีมูลค่ารวมกันหลายแสนล้านบาท  ตัวอย่างอาหารเฉพาะพันธกิจที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเช่น  
  • อาหารโพรไบโอติก (Probiotics) ในรูปโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยวพร้อมดื่มชนิดต่างๆ หลายร้อยชนิด โพรไบโอติก คือ จุลินทรีย์ที่มีคุณประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ โดยชนิดที่นิยมใช้เป็นอาหารพันธกิจคือ เชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม lactic acid bacteria (LAB) และ bifidobacteria  
  • อาหารพรีไบโอติก (Prebiotics) ใช้เสริมในเครื่องดื่ม, นมผงเด็ก, ซีเรียล, หรือโยเกิร์ต (ซึ่งในกรณีนี้จะมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า Synbiotics เพราะมีทั้ง Probiotics และ Prebiotics อยู่ด้วยกัน) พรีไบโอติก หมายถึง สารที่ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของ โพรไบโอติก ตัวอย่างของ prebiotics ที่นิยมใช้ในอาหารเฉพาะพันธกิจได้แก่ Inulin, FOS (fructo-oligosacchardie), GOS (galacto-oligosaccharide), XOS (xylo-oligosaccharide), SOS (soy oligosaccharide) เป็นต้น 
  • เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดต่างๆ ที่มีสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่น วิตามินเอ, ซี, อี, เครื่องดื่มที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล, มี Omega-3 และ สารสกัดจากถั่วเหลืองผสมอยู่, เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพตา ที่มี Lutein, หรือเครื่องดื่มบำรุงกระดูกที่มี Calcium และ Inulin นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอาหารเฉพาะพันธกิจที่เป็นที่นิยมอื่นๆ อีกเช่น ผลิตภัณฑ์ขนมอบ (Bakery) ผลิตภัณฑ์ทาขนมปัง ไข่ หรือเนื้อสัตว์ที่เสริมด้วยสารที่มีคุณประโยชน์ต่างๆ เช่น Omega-3 Fatty Acid หรือ วิตามินอี  

ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ (Natural Health Product) 

หมายรวมถึงสารจากธรรมชาติทั้งหลาย ทั้งจาก พืช, สัตว์, รา, สาหร่าย, และจุลชีพที่มีคุณสมบัติในการ บำบัดและป้องกันโรค หรือเหมาะสมในการใช้รักษาสุขภาพ และยังรวมถึงสารที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์อีกด้วย 

ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากธรรมชาตินี้ จึงหมายรวมถึงสารจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง ได้แก่ วิตามิน, เกลือแร่, ยาแผนโบราณท้องถิ่นต่างๆ, สมุนไพร, สารที่ใช้ในการรักษาตามแนวทางแพทย์แผนทางเลือก และสาร ชีวโมเลกุล เช่น Insulin, สารในใบยาสูบ, และกัญชา เป็นต้น  



อ้างอิง 
รศ ดร. ภญ. มณฑารพ ยมาภัย, Nutraceutical - โภชนเภสัช และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง. เผยแพร่ในเว็บไซต์ 14 กันยายน 2556. เข้าถึงเมื่อ 17 ตุลาคม 2557.

บรรณานุกรม
1. Hardy, G. (2000) Nutraceuticals and functional foods: introduction and meaning. Nutrition, 16, 688-689.
2. Siró, I., E. Kpolna, B. Kpolna & A. Lugasi (2008) Functional food. Product development, marketing and consumer acceptance--A review. Appetite, 51, 456-467.
3. Walji, R. & H. Boon (2008) Natural health product regulations: perceptions and impact. Trends in Food Science & Technology, 19, 494-497.

4. รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, วงศ์สถิต ฉั่วสกุล, สมภพ ประธานธุรารักษ์, พร้อมจิต ศรลัมพ์, วิชิต เปานิล, และ นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. สมุนไพร ยาไทยที่ควรรู้. พิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ๑๗๖, หน้า พิมพ์ที่ บริษัท อมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

รู้จักคอเลสเตอรอล (Cholesterol)

รู้จักคอเลสเตอรอล (Cholesterol)

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือ ไขมันที่อยู่ตามส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์
เป็นสิ่งจำเป็นช่วยให้ร่างกายทำงานได้ แต่ถ้ามีมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหากับระบบหัวใจ
และหลอดเลือดได้เป็นทั้งสาร สเตอรอยด์(steroid) ลิพิด(lipid) และ แอลกอฮอล์ พบใน
ผนังเซลล์ของทุกเนื้อเยื้อในร่างกายและถูกขนส่งในกระแสเลือดของสัตว์ คอเลสเตอรอลส่วน
ใหญ่ไม่ได้มากับอาหารแต่จะถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในร่างกาย จะสะสมอยู่มากในเนื้อเยื้อของ
อวัยวะที่สร้างมันขึ้นมาเช่น ตับ ไขสันหลัง สมอง และ ผนังหลอดเลือดแดง เป็นสาเหตุทำให้
เกิดโรคหัวใจและระบบหลอดเลือด และภาวะ คอเลสเตอรอลในเลือดสูง



คอเลสเตอรอลสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด


1.LDL หรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี มีคอเลสเตอรอลประมาณร้อยละ 60-70 เป็นตัวนำคอเลสเตอรอลไปทั่วร่างกาย รวมทั้งไปที่กล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของหลอดเลือดแดง ดั้งนั้นหากมีมากไปก็จะไปสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือดแดง นำไปสู่การตีบตันของหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

2.HDL หรือคอเลสเตอรอลที่ดี มีคอเลสเตอรอลประมาณร้อยละ 20-30 เป็นตัวที่นำคอเลสเตอรอลจากเนื้อเยื่อกลับไปสู่ตับ ซึ่งไปรีไซเคิลและถูกกำจัดออกไป หากมี HDL มากก็จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอล ในเลือดลดลง และช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้


คอเลสเตอรอลฆาตกรเงียบ
คอเลสเตอรอลสาเหตุของโรคและภัยอันตรายต่างๆเหล่านี้

โรคหัวใจ
โรคเบาหวาน
โรคไขมันในเส้นเลือด
โรคความดันโลหิตสูง
โรคเส้นเลือดตืบตัน
โรคอ้วน
โรคอัมพฤต
โรคอัมพาต






 คอเลสเตอรอลฆาตกรอันดับ 1 ต้นเหตุการตายยอดฮิตของคนไทยและคนทั่วโลก

คอเลสเตอรอลไขมันในเลือดที่ทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดเมื่อมีอาการตีบก็ทำให้เกิดอาการ
สูบฉีด เลือดยาก หัวใจทำงานหนักทำให้เกิดโรคหัวใจ สูบฉีดมากทำให้เกิดวามดัน และ โรคต่างๆ
มากมาย เมื่อเกิดอาการอุดตันมากๆเป็นเวลานาน ก็ทำให้เส้นเลือดตัน ถ้าตันในเส้นที่สำคัญ เช่น
หัวใจ หรือ สมอง ซึ่งร่างกายไม่ส่งสัญญาณในการเตือนเราล่วงหน้า
หลายๆคนตื่นมาตอนเช้า
ก็ไม่สามารถขยับ ร่างกาย เป็น อัมพฤต อัมพาต ไปซีกหนึ่งไปเลย เพราะ เส้นเลือดแตกในเส้น
ที่สำคัญ อย่างถ้าตีบใน เส้นเลือดหัวใจ ก็ต้องทำ บอลลูน หรือ Bypass ต้องตรวจฉีดสีหลอด
เลือดหัวใจ ราคาในรพ. เอกชนปัจจุบัน เฉลี่ยประมาณ 300,000-500,000 บาท และ ถ้ายังไม่รับ การแก้ไขก็สามารถตันในเส้นอื่นๆเพิ่มได้อีก จะดีกว่าไหมที่เราป้องกัน รักษาตัวเองให้แข็งแรง ไม่ให้ป่วย เสี่ยงในโรคร้ายแรง และ ค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก
*** ในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วย โรคหัวใจ, คลอเรสเตอรอล , ความดัน, เบาหวาน  เป็นสาเหตุการตายอันดับแรกๆ ของคนไทย เฉลี่ยแล้วสูงถึง 163 คนต่อวันเลยทีเดียว ***

*** คนอเมริกา ตายด้วยโรคหัวใจ 33 วินาทีต่อวัน ***
High Cholesterol and Blocked Blood Vessels
ระดับคอเลสเตอรอลแล้วไปอุดตันเส้นเลือดเส้นสำคัญอย่างหัวใจและสมองได้อย่างไร?


จากการสำรวจในปี ค.ศ. 1985 พบคนไทยมีคอเลสเตอรอลสูงถึง 34.1% และในปี ค.ศ. 1997 พบเพิ่มสูงขึ้นถึง 51% ล่าสุดในปี 2006 พบคนไทยมีคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงถึง 80%
50% ของคนไทยมี คอเลสเตอรอล มากกว่า 200 (เกิดค่่ามาตราฐาน)
คอเลสเตอรอล ไม่ควรเกิน 200
ไตกีซาไรด์ ไม่ควรเกิน 150
LDL ควรต่ำ่กว่า 100
HDL (ชาย) ควรมากกว่า่ 45 มิลลิกรัม
HDL (หญิง) ควรมากกว่า 55 มิลลิกรัม

- ถ้าเราสามารถลด LDL (คลอเลสเตอรอล เลว) ลง 1% เราจะลดอัตราการตายลงได้ 2%
- ถ้าเราสามารถเพิ่ม HDL (คลอเรสเตอรอล ดี) ได้ 1% เราจะลดอัตราการตายได้ 3%

High Cholesterol and Blocked Blood Vessels




วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

ยา สแตติน Statins

สแตติน Statins
ยากลุ่ม Statins เป็นยาลดคอเลสเตอรอลและไขมันมีประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันและ รักษาโรคหัวใจ แต่ผู้ใช้ยาสเตตินมีความเสี่ยงต่อการทำงานผิดปรกติของตับ เกิดไตวายเฉียบพลันและเป็นต้อหิน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าสุขภาพหัวใจ สำคัญกว่าอย่างอื่น

กล้ามเนื้อพิการ
ไตวายเฉียบพลัน
ตับพิการ
โรคต้อหิน
การอักเสบ
โรควิกลจริตที่มีจิตเสื่อม
เนื้องอก

***การรักษายาสเตติน ...20 ปีที่ผ่านมา การมุ่งไปที่การลดไขมันตัวเลวอย่างเดียว อาจไม่พอ แต่เปลี่ยนไปรักษาโดยการ เพิ่มไขมันตัวดี แต่ตายมากกว่าเดิม ***

ยากลุ่มสเตติน เป็นยาลดคอเลสเตอรอล มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย ขณะเดียวกันยาเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น กล้ามเนื้อผิดปรกติ การศึกษาครั้งใหม่ในคนกว่า 2 ล้านคนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002-2008 พบอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอีกหลายประการ ได้แก่ และมียา 2 ชนิดที่อาการเหล่านี้ขึ้นกับขนาดการใช้ Dr. Julia Hippisley-Cox หัวหน้าคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม รายงาน
ผู้วิจัยพบว่าใน สตรีที่มีความเสี่ยงสูง 10,000 รายที่ได้รับยาสเตตินจะมีการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลดลง 217 ราย และเป็นมะเร็งหลอดอาหารลดลง 8 ราย
ในขณะที่ผู้ใช้ยาสเตติน 10,000 คนนี้เกิดตับพิการ 740 ราย
23 รายเกิดไตวายเฉียบพลัน
307 รายมีปัญหาต้อกระจกตา
39 รายมีกล้ามเนื้อพิการ

ส่วนในผู้ชายก็ได้ผลคล้ายกันเว้นแต่ว่ามีกล้ามเนื้อพิการมากกว่าสตรี

"When you get the same results with a natural product as you can with a statin medication it's just tremendous." - Dr. Steven Ferguson
"เมื่อคุณได้ผลลัพท์จากผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ได้เหมือนกันกับยาสเตติน มันก็สุดยอดมากๆเลย" - ดร.สเตเฟ่น เฟอร์กูสัน

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมต้องล้างสารพิษออกจากร่างกาย? (DETOX)

โรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราแบ่งออกได้



เป็น 2 ส่วน คือ

1. โรคที่เกิดจากเชื้อโรค
2. โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค
ในปัจจุบันจะพบคนเราเสียชีวิตมากที่สุดจากโรค
ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดัน โคเรสเตอรอลสูง มะเร็งเต้านม หรือ โรคหัวใจ

และสาเหตุหลักล้วนเกิดจากการรับประทานอาหาร
ไม่ถูกหลักโภชนาการ และไม่คอยระวังตรวจสอบ
ความผิดปกติของร่างกาย
จากงานวิจัยพบว่า โรคต่างๆ กว่า 80% เกิดขึ้นจากการที่เราได้รับสารพิษสะสมในร่างกาย เช่น จากยาปราบศัตรูพืช ควันรถ อาหารแปรรูป สุรา อาหารทอด ยาปฏิชีวนะต่างๆ สารพิษเหล่าจะติดค้างในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ในลำไส้ ในตับ ไต หรือเส้นเลือด ซึ่งยากต่อการขจัดออก ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย และเป็นโรคต่างๆ และสุดท้ายถึงขั้นเสียชีวิต
บรรณาธิการวารสารการแพทย์ THE LENCET (2533) บอกไว้ว่า
โรคหลายโรค หลายอาการจะดีขึ้นมากเมื่อขับถ่าย
เป็นเวลา และลดระยะเวลาการเดินทางจากกระเพาะ
ไปสู่ลำไส้ลง
วันนี้คุณคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องล้างสารพิษออกจากร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง?
DETOX คืออะไร?
กระแสการบำบัดรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ดูเหมือนกำลังได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวารีบำบัด อโรมาเธอราปี กายภาพบำบัด โภชนบำบัด สมาธิบำบัด ดนตรีบำบัด นาฏบำบัด และการบำบัดอันเนื่องมาจากวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งอาจมีวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย แต่เน้นวิธีการรักษาแบบองค์รวม การบำบัดต่างๆ เหล่านี้เรารวมเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"
การทำ DETOX หรือการล้างพิษ ด้วยการสวนล้างลำไส้ ก็เป็นวิธีหนึ่งในธรรมชาติบำบัดที่มีมาแต่โบราณ และปัจจุบันยังเป็นที่นิยมทำกันมาก ในประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา ส่วนในบ้านเรานั้น อาจคุ้นๆ หูกันอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มได้ยินหนาหูและรู้จักกันมากขึ้น
และก็เป็นธรรมดาที่อะไรอยู่ในกระแสก็จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับเรื่องของ "DETOX-ล้างลำไส้" นั้น หลายคนก็สงสัยว่าคืออะไร ทำไมต้องทำ ใครที่ควรจะทำ จำเป็นแค่ไหน ขั้นตอนเป็นอย่างไร มีผลกระทบอย่างอื่นกับร่างกายมั้ย ฯลฯ ซึ่งข้อสงสัยทั้งหมดนี้หาคำตอบได้ นับจากบรรทัดถัดไป
ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลของการสวนล้างลำไส้ ก็ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร ที่เรารับประทานกันเสียก่อน
อาหารที่เรารับประทานนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีเส้นใยมาก ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโพด ฯลฯ และชนิดที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้งขัดขาว ฯลฯ
โดยอาหารชนิดแรกนั้นเมื่อผ่านการย่อยแล้ว จะขับถ่ายออกจากร่างกายโดยง่าย ในขณะที่ชนิดหลังนี้เมื่อย่อยแล้วจะจับตัวกันจนเหนียวทำให้เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ด้วยความลำบากและมักเกาะติดอยู่กับผนังลำไส้ ไม่ยอมเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบการขับถ่ายแบบปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รับประทานอาหารในกลุ่มหลัง จึงมักมีอาการท้องผูก ถ่ายลำบาก แถมสิ่งที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้นี้ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ก่อให้เกิดการบูดเน่าหรือเกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องอืดท้องเฟ้อผายลมบ่อย อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ลำไส้ใหญ่อักเสบ มีกลิ่นปาก แผลเปื่อยในปาก หรือโรคที่เกี่ยวกับภูมิต้าน เช่น ภูมิแพ้ ลมพิษ ผื่นแพ้ หอบหืด รูมาตอยด์ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้การสวนล้างลำไส้จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกนำมาใช้ในการล้างพิษออกจากร่างกายนั่นเอง
การทำ DETOX-ล้างลำไส้ มี 2 วิธี วิธีแรกคือ ดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ระดับล่าง เป็นการสวนล้างลำไส้ในช่วงระยะ 30 เซนติเมตร สุดท้ายของลำไส้ ด้วยกาแฟหรือน้ำสมุนไพร ใช้น้ำประมาณ 5 ลิตร และวิธีที่ 2 คือ ดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ส่วนบน ด้วยน้ำเกลือแร่หรือสมุนไพร ใช้น้ำประมาณ 2 ลิตร
การทำดีทอกซ์แบบล้างลำไส้ส่วนบนนั้นจะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพที่เรียกว่า เครื่องล้างลำไส้ (COLONIC) ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิแรงดันและปริมาณต่างๆ ของน้ำได้
ขั้นตอนของการสวนล้างนั้นจะใช้น้ำอุ่นประมาณ 25 ลิตร ใช้เวลาในการสวนประมาณ 40-60 นาที วิธีการก็คือ แพทย์จะสอดหลอดสวนเข้าทางทวารหนัก เพียง 2 นิ้ว เปิดให้น้ำอุ่นเข้าลำไส้อย่างช้าๆ ระหว่างนั้นจะทำการนวดหน้าท้องไปด้วยเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ทำให้ตะกรันที่จับคราบตามผนังลำไส้หลุดออกมา การทำในระยะแรกๆ อาจรู้สึกอยากถ่าย ให้ถ่ายได้เลยโดยไม่ต้องกลั้น น้ำและของเสียจะไหลออกทางทวารผ่านหลอดสวน โดยไม่ต้องถอดหลอดสวนออก จากนั้นก็จะปล่อยให้น้ำเข้าไปอีกทำเช่นนี้ซ้ำอีกจนน้ำในเครื่องหมด 25 ลิตร เมื่อน้ำหมดถังแล้วแพทย์จะทำการถอดสายสวนออก จากนั้นก็ให้ถ่ายจนเกลี้ยงก่อนทำความสะอาดร่างกาย เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการล่างลำไส้ส่วนบน
หลังการทำดีทอกซ์ล้างลำไส้ ร่างกายก็จะสบายขึ้น ไม่มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรืออ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ แม้ว่าจะถ่ายจนหมดพุง ทั้งนี้เพราะแพทย์จะผสมน้ำเกลือลงไปในน้ำ ที่ใช้ทำคตั้งแต่แรกแล้ว แต่หลังจากเสร็จสิ้นการล้างลำไส้ คนไข้จะได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย ส่วนอาหารการกินอื่นๆ สามารถรับประทานได้อย่างปกติ
การสวนล้างลำไส้นั้น นอกจากจะให้ผลดีในการกำจัดพิษออกจากร่างกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แล้วยังเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาโรคท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระอุดตันฉับพลัน หรือช่วยรักษาการทำงานาที่บกพร่องของลำไส้ รวมทั้งยังใช้เป็นหนึ่งในขั้นตอนเตรียมการตรวจรักษาก่อนการคลอดบุตร เอกซเรย์ตรวจเช็คลำไส้ด้วยการสวนแป้ง (Barium) หรือส่องกล้องทำการตรวจรักษาผ่านช่องท้องหรือลำไส้ใหญ่อีกด้วย

สำหรับผู้ที่จะทำดีทอกซ์นั้น ควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ถ้าสุขภาพปกติดี ก็สามารถสวนล้างปีละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้ามีปัญหาสุขภาพอาจต้องทำมากกว่านี้ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายๆ ไป และก่อนที่จะทำการสวนล้างลำไส้ แพทย์จะต้องซักประวัติสุขภาพของคนไข้เสียก่อนว่า สามารถทำการสวนล้างลำไส้ได้หรือไม่ เนื่องจากมีโรคบางโรคที่เป็นข้อห้ามในการสวนล้างลำไส้ เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือความดันโลหิตต่ำ

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

แผนจ่ายผลตอบแทน

Compensation Plan
แผนจ่ายผลตอบแทน


 1. Retail Sales  รายได้จากกำไรการขายปลีก 25%

2. Special Discount  ส่วนลดเพิ่ม เมื่อซื้อ 101-250 PV  ลด 5% และ 251 PV  ลด 10%

3. Franchise
- 3%  สำหรับ 100 PV
- 5%  สำหรับ 200 PV

4. Fast Start Bonus ผลตอบแทน 20%-30%  เมื่อทำ FSB (500 PV)

5. Leadership Bonus ผลตอบแทนตำแหน่งผู้นำ  1%-5%

6. Easy Ship Program ซื้อชุด Easy Ship ทุกเดือน ครบ 6 เดือน รับฟรี 1 ชุด!

8. เปิดศูนย์กระจายสินค้าประจำจังหวัด  (1 จังหวัดเปิดได้ไม่เกิน 2 ศูนย์)  รับผลตอบแทน 5% ของยอดขายทั้งหมด



Passive Income คืออะไร


 Passive Income หรือ รายได้เชิงรับ หมายถึง "รายได้ที่ไม่ได้มาจากการที่เราออกแรงทำงานโดยตรง" สมมติว่าวันใดที่เราไม่ได้ทำงานแล้ว แต่ยังมีเงินเข้ากระเป๋าเราอยู่อย่างสม่ำเสมอ เงินก้อนนี้แหละที่เรียกว่า Passive Income หรือ รายได้เชิงรับ

ที่มาของ Passive income มีหลายทาง เช่น สินทรัพย์ทางการเงิน (Finance Assets) สินทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Assets) อินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง (Internet Marketing) อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ซื้อแฟรนไชส์ (Franchise) และธุรกิจเครือข่าย (Network marketing)


เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร



เริ่มต้น Passive Income ของคุณวันนี้